เคล็ดลับ SEO เขียนบทความให้ดีดึงดูดผู้อ่าน

เคล็ดลับการทำ SEO ให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ต้องมีบทความที่ดีเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ แม้จะศึกษากลยุทธ์การตลาดมาดีแค่ไหน แต่ถ้าคลิกเข้าในเว็บไซต์แล้วพบกับบทความเก่า ๆ ไม่มีข้อมูลทันสมัยหรือเขียนไม่รู้เรื่อง ไม่น่าอ่าน ความสนใจในเบื้องต้นของลูกค้าจะหมดลงและไม่คลิกเข้ามาเพื่ออ่านบทความในเว็บไซต์อีก วิธีการเขียนบทความให้ดีทำอย่างไร มาอ่านเนื้อหากันเลย

1.การเลือกคีย์เวิร์ดที่เหมาะสม นับเป็นก้าวแรกของการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับในหน้าแรกของ Google คีย์เวิร์ดที่ดีมีความสำคัญ ควรเลือกคำที่มีความหมายตรงกับความต้องการของคนหรือตรงกับปัญหาและเป็นคำที่ถูกค้นหามากที่สุด ซึ่งหมายความว่าคีย์เวิร์ดอาจเปลี่ยนไปตามความนิยมของลูกค้า จึงต้องทำการตลาดด้านคีย์เวิร์ดในเวลานั้นเพื่อนำมาปรับใช้กับเว็บไซต์ของคุณ

2.เขียนบทความน่าอ่านและมีประโยชน์ คีย์เวิร์ดที่ดีเป็นเรื่องของการตลาด เลือกคำเหมาะสมทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นเจอและส่งผลให้ธุรกิจของเราติดอันดับในการค้นหา แต่ถ้าใส่คีย์เวิร์ดไปแล้วแต่ในเว็บไซต์ม่มีข้อมูลอะไรที่ให้ประโยชน์กับผู้อ่าน เว็บไซต์ของคุณคงไม่ได้รับความสนใจอีกต่อไป ทำให้การทำ SEO เสียเวลาเปล่า ถึงแม้ว่าจะมีการคลิกเข้าเว็บไซต์ปริมาณมากขึ้นแต่คลิกออกโดยเร็วการทำ SEO จึงไม่มีประสิทธิภาพ หากไม่สามารถเขียนบทความด้วยตนเอง ขอแนะนำให้จ้างนักเขียนที่มีฝีมือและสไตล์การเขียนที่โดดเด่นมาช่วยทำคอนเทนต์ให้ปัง โดยคิดในมุมของคนอ่านว่าสนใจอะไรและสอดแทรกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทำให้บทความนั้นมีสีสัน กระตุ้นให้คนติดตามอ่านอย่างต่อเนื่อง

3.การใช้คีย์เวิร์ดแทรกในบทความอย่างลงตัว การเขียนเนื้อหาบทความที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการของเว็บไซต์จะต้องเลือกคีย์เวิร์ดที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ขณะเดียวกันต้องมีความกลมกลืนกับเนื้อหาด้วย หากเป็นการยัดเยียดคำลงไป อ่านแล้วไม่สละสลวยทำให้ผู้อ่านไม่เข้าใจย่อมไม่เกิดประโยชน์ ก่อนเขียนบทความต้องเลือกคีย์เวิร์ดว่ามีกี่คำ ต้องการใส่คำละกี่ครั้ง วางแผนเสร็จแล้วเขียนร่างเนื้อหาบทความออกมาก่อน เพื่อให้ครอบคลุมข้อมูลสำคัญและทำให้ขั้นตอนการเขียนง่ายและเร็วขึ้น มีการเรียงลำดับเนื้อหาอย่างเหมาะสม จากนั้นจึงใส่คีย์เวิร์ดแทรกลงไป นอกจากนี้ยังใส่คีย์เวิร์ดในชื่อหน้าเว็บได้ ใส่คีย์เวิร์ดในหัวข้อย่อยของบทความด้วย รวมไปถึงการใช้คีย์เวิร์ดเป็นชื่อของไฟล์รูปภาพ, ใน URL และใน Description เพื่อให้ค้นหาเว็บไซต์ได้ง่ายยิ่งขึ้น

หากคุณยังไม่ทราบว่าควรใช้คีย์เวิร์ดแบบไหนดี แนะนำให้ใช้เครื่องมือค้นหาเป็นตัวช่วยเลือกคีย์เวิร์ด เช่น Google Keyword Planner, Keysearch, Ubersuggest เลือกมาหลาย ๆ คำที่มีความหมายใกล้เคียงเพื่อให้เลือกใช้ได้และปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสม ควรแทรกคีย์เวิร์ดในบทความอย่างเป็นธรรมชาติและมีความคิดสร้างสรรค์ เพื่อให้เนื้อหาบทความดี ๆ ดึงดูดผู้ชมมากขึ้นอีกระดับ

SEO กับ Awareness ของลูกค้า และรายได้ของธุรกิจที่ไม่อาจมองข้าม

ในการทำธุรกิจทุกประเภท การรับรู้ของลูกค้านั้นเป็นหนึ่งปัจจัยที่เจ้าของกิจการไม่อาจมองข้ามได้เลย โดยเฉพาะในธุรกิจออนไลน์ที่มีตลาดที่ใหญ่แต่มีการแข่งขันที่สูง ซึ่ง Awareness ยุคออนไลน์นั้นมีความเกี่ยวข้องกับการทำ SEO ของธุรกิจอย่างที่สุด การสร้างให้ลูกค้าเกิด Awareness นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าสามารถทำเรื่องนี้ได้ดี โอกาสที่ธุรกิจของเราจะประสบความสำเร็จและสร้างให้เกิดผลตอบแทนที่เป็นกำไรตามเป้านั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก

Awareness กับการสื่อสารให้ธุรกิจเป็นที่รู้จัก

สร้างให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักในวงกว้าง สิ่งสำคัญของการสร้างการรับรู้หรือการทำให้ลูกค้ามี Awareness กับธุรกิจของเราก็คือการประชาสัมพันธ์ และในธุรกิจออนไลน์ซึ่งเป็นยุคที่ผู้คนจะค้นหาสิ่งต่าง ๆ ผ่านการ Search อย่างนั้นแล้ว ธุรกิจจึงควรทำ SEO เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงและ Aware ได้ว่าธุรกิจของเรานั้นมีอยู่ และพร้อมที่จะนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ดีที่สุดให้ลูกค้า

เปลี่ยนลูกค้าในอนาคตให้เป็นลูกค้าปัจจุบัน ลูกค้าในอนาคตก็คือผู้ที่มีความต้องการในการซื้อสินค้าหรือบริการของเรา ถ้าไม่อยากเสียลูกค้าให้กับคู่แข่ง หน้าที่ของเราคือการทำ SEO เพื่อสร้างการรับรู้ให้ลูกค้าในอนาคตของเราได้รู้จักกับธุรกิจของเราเอง หลังจากนั้นแล้วก็ยิ่งที่จะมีโอกาสมากที่เราจะสามารถเปลี่ยนลูกค้าคนนั้นให้เป็นลูกค้าปัจจุบันที่ซื้อสินค้าของเราได้ง่ายกว่า

Awareness กับการตัดสินใจซื้อและความภักดีต่อแบรนด์

ข้อมูลที่ส่งมอบเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการทำ SEO ไม่ได้มีแค่การสร้างให้เกิดการรับรู้เกี่ยวกับธุรกิจ แต่ยังเป็นการส่งมอบข้อมูลที่สำคัญให้แก่ลูกค้าด้วย ซึ่งข้อมูลคุณภาพที่ว่านี้เอง คือปัจจัยที่จะส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของเราในที่สุด แน่นอนว่าสิ่งที่ธุรกิจจะได้ก็คือผลกำไรจากการขายนั่นเอง

สินค้าดี การตลาดโดน ลูกค้าประทับใจ สามองค์ประกอบนี้คือหลักการสร้าง Awareness ผ่านการทำ SEO ที่เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ นั่นหมายความว่าในทุก ๆ ขั้นตอนของการทำธุรกิจผ่านการทำ SEO จะช่วยให้ลูกค้าเกิดการรับรู้ได้ว่าสินค้าของเราดีอย่างไร ได้รู้จักสินค้า บวกกับการทำการตลาด ทำ PR ผ่าน SEO เป็นช่วง ๆ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่การสร้างให้เกิดความประทับใจในแบรนด์และต่อยอดเป็นผลกำไรของธุรกิจต่อไป

เพราะเป้าหมายหลักที่สำคัญของธุรกิจออนไลน์ ก็คือการสร้างผลกำไร และสิ่งที่จะช่วยให้เราเดินทางไปถึงที่หมายได้นั้นก็คือการสร้างให้ลูกค้าเกิด Awareness กับธุรกิจ ผ่านเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพอย่าง SEO

เรื่องที่ไม่ควรทำเกี่ยวกับ SEO ถ้าไม่อยากให้ธุรกิจเฟล

อย่างที่เรารู้กันดีว่าการทำ SEO คือหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์ที่จะมีส่วนทำให้ธุรกิจออนไลน์ประสบความสำเร็จ แต่การขาดความเข้าใจในหลักของการทำ SEO ที่ถูกต้องของเจ้าของธุรกิจอาจทำให้เกิดปัญหา ที่จนในที่สุดแล้วจากเครื่องมือดี ๆ อาจกลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจของเราเฟลได้ และนี่คือเรื่องสำคัญที่คุณไม่ควรทำเกี่ยวกับ SEO ถ้าไม่อยากให้ธุรกิจออนไลน์เฟล

1. ทำ SEO แล้วหยุดทำ ไม่อัปเดตเว็บ

เจ้าของแบรนด์หรือเว็บไซต์บางคนอาจมีความคิดว่าการทำ SEO คืองานการตลาดออนไลน์ที่เมื่อทำไปแล้วก็คือแล้วกัน หรือเมื่อทำ SEO จนเว็บไซต์ติดอันดับแล้วคือผ่าน ก็เลยหยุดทำไป แต่ความเชื่อนั้นผิดมาก เพราะรูปแบบการให้ความสำคัญกับการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google จะเลือกแสดงเว็บที่มีการอัปเดตบ่อย เว็บไซต์ที่มีความสดใหม่กว่ามักจะได้รับการเลือกให้ขึ้นมาแทนเว็บที่ไม่อัปเดต ถ้าเว็บของเราไม่มีการปรับปรุงเนื้อหาก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังแน่นอน

2. บทความไม่ Original หรือชอบไปคัดลอกมา

เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับการทำ SEO เพราะบางคนอาจคิดว่าหลักการของการทำ SEO คือการเล่นกับ Keyword ยิ่งเว็บมี Keyword มากก็จะยิ่งทำให้ติดอันดับง่าย แต่บอกเลยว่า Google ไม่ได้ไม่รู้ เพราะระบบจะมีแนวทางในการจัดการกับเว็บไซต์ที่ชอบคัดลอกบทความและรูปภาพของคนอื่นมาใช้ ต่อให้ลอกมาได้ ไม่นานเว็บก็จะถูกถอดออกและโดนลบไปตามข้อกำหนดตามเรื่องของลิขสิทธิ์ วิธีแก้ก็คือหากเราจำเป็นต้องเอาบทความหรือรูปภาพจากที่ไหนมาใช้ ให้ทำการขออนุญาตเจ้าของก่อนให้เรียบร้อย หรือเลือกใช้วิธีการทำ Backlink ไปยังบทความต้นฉบับให้ถูกต้อง สำหรับกรณีของภาพ ให้เลือกจากแหล่งภาพแจกฟรีหรือซื้อภาพถูกลิขสิทธิ์มาใช้เพื่อความอุ่นใจจะดีกว่า

3. กระหน่ำโพสต์โดยไม่ดูเรื่องคุณภาพ

สำหรับข้อนี้ให้นึกถึงพวกเว็บที่ถูกใช้ในการประกาศขายสินค้า ที่เจ้าของธุรกิจหลายคนชอบเข้าไปกระหน่ำอัปเดตฝากร้าน โปรโมทสินค้าหรือบริการแบบไม่พัก การขยันโพสต์อาจดูเป็นเรื่องดีที่จะช่วยเพิ่ม Backlinks ได้ แต่ถ้าเล่นโพสต์ไปเรื่อยลงในเว็บที่ไม่มีคุณภาพ และมีการ Copy วางแบบเป๊ะ ๆ ทุกตัวอักษร อาจพาเราไปสู่ปัญหา Spam Backlinks ที่เมื่อ Google ตรวจเจอ ก็จะค่อย ๆ ลดอันดับของเว็บไซต์ของเราลงเรื่อย ๆ จนหายไปจากหน้าแรกในที่สุด

พอได้รู้แบบนี้แล้ว เจ้าของธุรกิจคนไหนที่ยังใช้วิธีการทำ SEO แบบนี้อยู่ เห็นทีต้องรีบเปลี่ยนกลยุทธ์การทำการตลาดออนไลน์ใหม่แล้ว มาปรับรูปแบบการใช้ SEO ใหม่ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำอย่างต่อเนื่อง และทำให้ถูกวิธี รับรองว่าธุรกิจออนไลน์ไปได้ไกลแน่นอน

SEO และ SEM ต่างกัน ควรโฟกัสแบบไหนให้ตอบโจทย์ที่สุด

เทคนิคการทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับแรกของผลการค้นหาใน Google ด้วยปรับแต่งปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อกับจัดอันดับโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา แตกต่างจาก SEM (Search Engine Marketing) ซึ่งเป็นการทำการตลาดแบบลงโฆษณาและเสียเงินตามจำนวนคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ มาดูกันเลือกแบบไหนคุ้มค่าและตอบโจทย์คุณที่สุด

เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของ SEO และ SEM

การทำงานของ SEO มีข้อดีคือการทำตลาดแบบธรรมชาติ ไม่ต้องเสียค่าคลิกโฆษณาเข้าสู่เว็บไซต์ ไม่ว่าคนจะคลิกเข้ามากเท่าไรก็ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ข้อเสียคือต้องอาศัยมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาปรับแต่ง SEO อย่างต่อเนื่องและใช้เวลานานกว่าที่จะไต่อันดับขึ้นมาหน้าแรกจึงจะได้รับการจัดอันดับดีขึ้น ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าต่อการลงทุน การทำ SEO จะช่วยเพิ่มยอดขายต่อเนื่องในระยะยาว วิธีการทำตลาดแบบธรรมชาติคือการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้สวยงามใช้งานง่าย เนื้อหาบทความมีคุณภาพ ให้ประโยชน์กับผู้อ่าน เครื่องมือค้นหาได้ง่าย และรองรับการใช้งานบนสมาร์ทโฟนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ปัจจัยการจัดอันดับของ Google จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ต้องปรับปรุงเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้อันดับตกต่ำลง ถ้าหยุดทำ SEO เมื่อไรอันดับก็จะตกลงเช่นเดียวกัน

การทำงานของ SEM คือการลงโฆษณาผ่านระบบ Google Ads ต้องประมูลคีย์เวิร์ดเพื่อให้โฆษณาแสดงผลการค้นหาบนหน้าแรก โดยจะมีค่าโฆษณาตามจำนวนคลิกเข้าเว็บไซต์ ซึ่งหมายความว่าคุณจะจ่ายค่าโฆษณาเมื่อมีการคลิกเกิดขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดคีย์เวิร์ดที่ต้องการลงโฆษณาด้วยตัวเอง ทั้งยังเปลี่ยนคีย์เวิร์ดใหม่และเพิ่มจำนวนคีย์เวิร์ดได้เองอีกด้วย ผลลัพธ์ที่ได้คือโฆษณาจะขึ้นแสดงผลบนหน้า Google รวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง หากต้องการเพิ่มจำนวนคลิกเข้าเว็บไซต์ต้องเพิ่มงบโฆษณามากขึ้น ข้อดีอีกอย่างของ SEM คือการประมูลคีย์เวิร์ดนั้นกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้เฉพาะเจาะจงมากกว่า ระบุเพศ อายุ จังหวัด ที่ต้องการได้ แต่การซื้อโฆษณาเป็นระบบประมูล ถ้าคู่แข่งเพิ่มราคาทำให้ต้องเสียเงินค่าคลิกแพงขึ้น ไม่เช่นนั้นอันดับการแสดงผลการค้นหาบน Google จะลดลง หรือหยุดจ่ายค่าโฆษณาเมื่อไรเว็บไซต์จะไม่แสดงผลบน Google

ถึงตอนนี้คงพอเข้าใจความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM แล้ว ในกรณีที่ต้องการให้โฆษณาบน Google ประสบความสำเร็จมากที่สุดควรทำกลยุทธ์ SEO และ SEM สนับสนุนกันและกัน หากธุรกิจของคุณมีเงินทุนไม่มากพอแนะนำให้พิจารณาเลือกใช้วิธีการแบบใดแบบหนึ่งไหนที่ตอบโจทย์ธุรกิจมากที่สุด แต่ถ้ามีงบประมาณพอสำหรับการทำ SEO และ SEM ควบคู่กันและหาทางใช้ประโยชน์จากทั้งสองช่องทาง เช่น วิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพจากโฆษณาบน SEM นำมาใช้ประโยชน์ในการทำ SEO ได้ ขณะเดียวกันก็ใช้คำค้นหาจาก SEO ไปใช้ในการทำ SEM ได้เหมือนกัน วิธีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ได้ดีและเกิดประโยชน์มากขึ้น

ธุรกิจทำ SEO ผ่านช่องทางสื่อประเภทใดบ้าง

ธุรกิจทุกวันนี้อาศัยการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO กันมากขึ้นเพื่อให้แบรนด์สินค้าหรือบริการเป็นที่รู้จักกว้างขวาง โซเชียลมีเดียเป็นส่วนสำคัญที่ธุรกิจใช้เป็นช่องทางโปรโมทแบรนด์ให้เข้าถึงลูกค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย มาดูกันว่าสามารถทำ SEO ผ่านช่องทางสื่อประเภทใดบ้าง

1.การทำ SEO ลงบนเว็บไซต์ เป็นรูปแบบที่พูดถึงกันมากที่สุด เพราะเป็นรูปแบบการทำตลาดที่มีระยะเวลายาวนานกว่า มีความยั่งยืนมากกว่าสื่อเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ และอื่นๆ การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ หรือติดอันดับหน้าแรกบน Google สร้างคุณค่าให้เห็นว่าเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือและการโฆษณามีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่เลือกทำ SEO ลงบนเว็บไซต์เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปกติแล้วการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีจะใช้เวลาค่อนข้างนานระหว่าง 4-6 เดือนหรือบางรายอาจใช้เวลานานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความชำนาญในการทำ SEO ทั้งการเลือกคีย์เวิร์ดที่เข้าถึงลูกค้า การเขียนบทความลงเว็บไซต์ที่น่าอ่านและดึงคนติดตามจำนวนมาก รวมไปถึงกลยุทธ์ SEO อื่นๆ เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีกว่าคู่แข่ง

2.การทำ SEO บน Facebook Fanpage การทำ SEO ไม่ได้ทำบนเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับโซเชียลมีเดียช่วยให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้นได้เช่นกัน หมายความว่าการทำเว็บไซต์พร้อมกับลิงก์ไปบนเฟซบุ๊กแฟนเพจทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่ามีส่วนร่วมมากขึ้น เพราะได้แสดงความคิดเห็นและการสื่อสารหลายช่องทาง ทั้งการแชท เสียง รูปภาพ และวิดีโอ ทำให้ Facebook Fanpage ได้รับความนิยมมาก แพลตฟอร์มเฟซบุ๊กสามารถกระตุ้นยอด Like, Share หรือ Comment ทำให้โพสต์ต่าง ๆ ถูกส่งต่อออกไปให้คนได้เห็นในวงกว้าง นอกจากนี้ทั้งบทความ รูปภาพ และวิดีโอที่โพสต์ลงบนเฟซบุ๊กสามารถลิงก์กับเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังเป็นการเสริมความน่าเชื่อถือของแบรนด์ในคราวเดียวกันด้วย 

3.การทำ SEO บน Youtube การโฆษณารูปแบบวิดีโอมีทั้งภาพและเสียงทำให้ผู้ชมรับรู้ได้เร็วกว่าการอ่าน โดยปกติอ่านบทความยาวหนึ่งหน้ากระดาษใช้เวลาหลายนาที ดูภาพหรือฟังเสียงก็ยังใช้เวลานานกว่า แต่ถ้าดูวิดีโอบนยูทูบเพียงไม่กี่วินาทีก็เข้าใจ เหมาะกับการทำวิดีโอเสนอขายสินค้าหรือบริการ วิดีโอบนยูทูบสามารถโปรโมทแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายอย่างรวดเร็วหลังจากมีการแชร์วิดีโอออกไปทำให้มีผู้คนรับรู้และเข้าชมจำนวนมาก ถือเป็นช่องทางการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ หากต้องการข้อมูลแบบละเอียดค่อยเข้าเว็บไซต์ไปอย่างเนื้อหาฉบับเต็มได้ในภายหลัง 

กลยุทธ์การทำ SEO รองรับการทำตลาดออนไลน์หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบทความ รูปภาพ หรือวิดีโอที่จัดทำขึ้นอย่างพิถีพิถัน จึงควรทำโฆษณาเชื่อมต่อทุกแพลตฟอร์มเข้าด้วยกันจะยิ่งเป็นประโยชน์ ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มคนได้ง่ายและตรงกับความสนใจของลูกค้าเป้าหมาย ยิ่งมีคนสนใจเข้ามาดูสินค้าหรือบริการมากขึ้นก็ยิ่งมีโอกาสเพิ่มยอดขายมากขึ้นในอนาคต

“SEO” อาชีพในฝันของใครหลายๆคน

หากย้อนไปประมานสัก 40 ปี จะรู้กันดีว่าค่านิยมของคนในยุคสมัยก่อนนั้น จะนิยมให้ลูกหลานตั้งใจเรียบและดันให้เรียนเก่งๆ เพื่อจบมาจะได้เข้ารับราชการมีเดือนประจำ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นงานที่น่าทำเป็นอย่างมาก มีทั้งชื่อเสียงเรื่องวงตระกลู รวมถึงความมั่นคงทางด้านการเงิน และผลประโยชน์อื่นๆอีกหลายอย่าง โดยอาชีพราชการนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือระบบบริหารประเทศ เนื่องจากงานราชการเป็นงานในส่วนของภาครัฐ เลยทำให้มีผู้คนพยายามถีบตัวเองและครอบครัวให้ได้บรรจุในอาชีพข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นทหาร, ตำรวจ, ครู และอาชีพอื่นๆอีกมากมาย

ถัดมาก่อนยุคอินเตอร์เน็ตจะเกิดขึ้นนั้น ฐานเงินเดือนของข้าราชการเริ่มนิ่งอยู่กับที่และไม่ค่อยมีความก้าวหน้าในอาชีพ ทำให้ค่านิยมของผู้คนเริ่มหันมาดันให้ลูกหลานเรียนจบสูงๆ เป็นด็อกเตอร์ เป็นหมอ เป็นวิศวะกร เพื่อสามารถทำธุรกิจและทำให้ได้มีรายได้สูงขึ้นกว่าอาชีพข้าราชการธรรมดาๆ จึงเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพที่มีความน่าสนใจ แต่พอยุคปัจจุบันมีอินเตอร์เน็ตเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันของทุกคน ก็เกิดเป็นอาชีพใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ และ 1 ในอาชีพนั้นก็คืออาชีพโปรแกรมเมอร์ อาชีพที่ทำการตลาดออนไลน์ อาชีพรับจ้างดูแลเว็บไซต์ต่างๆ รวมไปถึงอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจไม่แพ้กันคืออาชีพ “SEO” ที่อยู่ในกลุ่มการตลาดออนไลน์

“SEO” อาชีพนี้ ดีอย่างไร มีผู้คนสงสัยกันมา เริ่มต้นจากทำไมคนถึงสนใจกันเยอะขนาดนี้ และจะมีเยอะขึ้นทุกๆวัน ซึ่งงานหลักๆของการทำ Seo นั้น มันคือการใช้หลักความน่าจะเป็นที่จะต้องรู้จักฝึกความคิด  ว่าการจะทำเว็บไซต์นั้นควรออกมาในรูปแบบไหน รวมถึงเขียนบทความต่างๆว่าจะสื่อให้คนเสิร์ชเข้ามาดูแล้วรู้เรื่องยังไง และให้ถูกใจ Web Search Engine ที่ต้องการจะทำอันดับเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกของผลการค้นหาด้วย เพื่อให้ได้ลูกค้าจากการค้นหาหน้าเว็บ Search Engine ในปัจจุบันนี้ Google ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก และมีคนใช้งานมากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะค้นหาผ่าน Google ถ้าหากเรามีความสามารถในการทำอันดับเว็บไซต์เราให้ต้นหน้าแรกของ Google ได้ รับรองว่าไม่มีการตกงานแน่นอน หรือแม้แต่ถ้าไม่มีใครเข้ามาจ้าง เราก็สามารถสร้างรายได้จากการทำ Seo ของเราด้วยการโฆษณานั่นเอง นี่คือหนึ่งช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ดีที่สุดและมีผู้คนหลายคนพยายามฝึกตัวเอง เพื่อที่จะให้ก้าวมาถึงจุด “มือโปรเอสอีโอ” ให้ได้ ถามว่าดียังไงนั้นหรือ คือมีหลายบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่พยายามหานักทำ Seo เก่งๆมือโปรมาร่วมทีม เพื่อที่จะเพิ่มยอดขายกับทางบริษัท 

โดยที่ Seo นั้นแบ่งออกเป็น 2 สาย คือ “สายขาว” ที่ทำให้งานให้กับบริษัทถูกกฏหมายและมีหลักแหล่ง ส่วนอีกสายคือ “สายเทา” หรือ “สายดำ” ที่คอยทำงานให้กับบริษัทเกี่ยวกับการพนัน ซึ่งผลตอบแทนหรือเงินที่จะได้รับนั้นมากกว่าทำงานสายขาวหลายเท่าตัว ถ้าหากยังไม่เห็นภาพจะยกตัวอย่างให้ดู อย่างเราทำหน้าที่เป็น SEO ให้กับบริษัทการพนันออนไลน์แบบครบวงจร ก็จะทำเกี่ยวกับการวิเคราะห์บอลให้ทีเด็ดบอลเต็งบอลสเต็ป รวมถึงการสร้างสูตรเล่นคาสิโนและสูตรเล่นสล็อต เป็นต้น พอนักลงทุนที่เข้ามาแล้วได้เสียเราก็จะรายได้จากตรงนี้เพิ่มเติมอีกส่วนไม่รวมเงินเดือนที่จ้าง ต่างกันกับการที่เราทำให้บริษัทที่ถูกกฏหมายก็จะได้เงินเดือนตามที่กำหนดและไม่มีนอกมีในให้เหมือนกับ “สายเทา” หรือ “สายดำ” นั่นเอง

เทคนิคการเพิ่มจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์ด้วยการทำ SEO

ในยุคปัจจุบันหากเราสงสัยสิ่งใดเพียงแค่พิมพ์บน Google search เพื่อค้นหาคำตอบ สิ่งที่เราอยากรู้ก็จะปรากฏขึ้นมาให้เราเห็นโดยง่าย ในทำนองเดียวกัน การจะทำให้เว็บไซต์ของเรามีจำนวนคนเข้าถึงเป็นจำนวนมากนั้น ก็จำเป็นจะต้องเข้าใจในเรื่องของการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับแรก ๆ บน Google search แล้วจะส่งผลบวกให้โอกาสในการขยายธุรกิจ ตลอดจนเพิ่มยอดขายก็จะเป็นไปได้ด้วยดีด้วย

สำหรับเทคนิคในการทำ SEO เพื่อเพิ่มยอดเข้าชมนั้นมีวิธีดังต่อไปนี้

1.สร้างจุดสนใจเพื่อทำให้เว็บไซต์ของเราเป็นที่รู้จัก

เราต้องเข้าใจเสียก่อนว่า กลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้าของเรานั้นอาจไม่ได้ตั้งใจค้นหาแบรนด์ของเราเป็นอันดับแรก ด้วยเหตุที่ 80% ของลูกค้ามักเริ่มค้นหาจากสิ่งที่พวกเขาสงสัยก่อน ฉะนั้นการเลือกใช้ Keyword ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายและเว็บไซต์ของเราโดยตรงจึงจะเป็นประโยชน์ต่อการเพิ่มจำนวนผู้เข้าถึงเว็บไซต์ได้ เช่น เราทำธุรกิจเกี่ยวกับร้านซักแห้ง ที่ตั้งอยู่ รามอินทราซอย 12 Keyword ที่ควรใช้ควรเป็นร้านซักแห้งรามอินทรา เพื่อให้ค้นที่ค้นหาพบเว็บไซต์เราเป็นอันดับแรก

2.สร้างเว็บไซต์ให้น่าสนใจ

การออกแบบเว็บไซต์ให้ง่ายต่อการใช้งาน เขียนเนื้อหาอย่างชัดเจน มีหมวดหมู่พร้อมคำอธิบายสินค้าที่ตรงไปตรงมา เรียกว่าเว็บไซต์ SEO ของเราต้องเป็นธุรกิจที่แลดูทันสมัยและเข้าใจง่าย จะช่วยทำให้สินค้าและบริการของเราเข้าถึงผู้คนได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของรายละเอียดสินค้าหรือบริการที่ต้องศึกษามาอย่างดีว่าจะเขียนสื่อสารข้อมูลถึงลูกค้าเป้าหมายอย่างไร ให้แบรนด์ของเราขยายฐานลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ

ทำกราฟิกสวย ๆ นำเสนอสินค้าและบริการ

การให้ข้อมูลสินค้าและบริการของเราในรูปแบบตัวอักษรอาจไม่ดึงดูดใจคนอ่านเพียงพอ ปัจจุบันควรจ้างทำกราฟิกสวย ๆ ที่สร้างความสนใจตั้งแต่แรกเห็น ทำให้ผู้คนอยากคลิกเข้ามาอ่านข้อมูลจากเว็บไซต์เรามากขึ้น เนื้อหาบางอย่างอาจทำเป็นตารางเปรียบเทียบ เช่น สเปก รุ่น ราคา ฯลฯ เพื่อให้ลูกค้าเห็นภาพว่าได้อย่างชัดเจนว่าแบรนด์ของเราดีกว่าแบรนด์อื่น ๆ อย่างไร เพียงเท่านี้ ยอดการเข้าถึงและยอดขายก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย 

เน้นการเขียนรีวิวและบอกต่อ

หนึ่งในวิธีเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ดีที่สุด คือ การมีลูกค้าเขียนรีวิวสินค้าหรือบริการที่ใช้งานไปแล้ว ทำให้คนอื่น ๆ เชื่อมั่นและเกิดการบอกต่อ ปัจจุบันการรีวิวจากคนใช้จริงได้รับความสนใจมากกว่าดารานักร้องที่ถูกจ้างมาโปรโมตแบบแพง ๆ วิธีนี้ทำให้ SEO ทำงานได้อย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพสูงด้วย 

การเพิ่มจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์นั้น จำเป็นต้องเข้าใจเรื่องความต้องการของลูกค้า พฤติกรรม อายุ เพศ อาชีพ โดยละเอียด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของ SEO ตลอดจนเข้าใจในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ เพื่อให้สินค้าและบริการของเราสามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดนั่นเอง

รวมกลยุทธ์ในการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ

คงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า google เข้ามามีบทบาทต่อการใช้ชีวิตประจำวันของทุกคนเป็นอย่างมาก เพราะหลายครั้งที่คิดอะไรไม่ออกก็มักจะใช้ google ในการค้นหา ซึ่งจากสถิติของ internetlivestats.com มีผู้คนใช้งานผ่าน google มากถึง 3.5 พันครั้งในแต่ละวัน การที่จะเป็น 1 ในเว็บไซต์ที่มีผู้คนค้นหามากที่สุด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอาศัยกลยุทธ์ในการทำ SEO เพื่อให้ประสบความสำเร็จ โดยในวันนี้ได้รวบรวมกลยุทธ์การทำ SEO บางส่วนมาให้คนทำเว็บเพื่อนำไปปรับใช้และพัฒนาต่อยอดเว็บไวซ์ของตนเองให้ติดอันดับหน้าค้นหาจากทาง google ต่อไป

1.กำหนดกลุ่มเป้าหมาย

ในขั้นตอนการวางแผนที่จะทำเว็บไซต์ อันดับแรกควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มของลูกค้าที่สนใจในตัวสินค้าที่จะนำเสนอ เช่น อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ หากจำเพาะเจาะจงถึงยี่ห้อ แบรนด์ที่จะจำหน่าย ก็จะช่วยให้การค้นหาของ google ทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น หรือการระบุถนนลงไปเช่น ของแต่งรถเอกมัย คนที่อยู่ย่านเอกมัยก็จะมุ่งไปที่ร้านของเราทันที

2.ให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าที่จะขาย

การที่จะขายสินค้าผ่านทางเว็บไซต์และให้คนจำนวนมากเข้ามาติดตาม นั่นคือการให้รายละเอียดข้อมูลสินค้า ความรู้ บทความและสินค้าที่กลุ่มเป้าหมายเข้ามาดูนั้น สามารถตอบโจทย์หรือช่วยแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้หรือไม่  เพราะหากการนำเสนอสินค้าผ่านบทความและความรู้ไม่ตอบโจทย์ตามที่ลูกค้าต้องการ ก็ยากที่จะดึงดูดให้ลูกค้าอยู่ภายในเว็บได้

3.รีวิวนั้นสำคัญอย่างไร

คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการรีวิวสินค้าจากผู้ใช้งานจริงจะสามารถสร้างจุดสนใจของลูกค้าได้เป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากบรรดาตัวแทนจำหน่าย หรือพ่อค้าแม่ค้าที่ขายสินค้าผ่านโลกออนไลน์ต่างออกมาทดลองและรีวิวสินค้าที่จะขาย ว่าสามารถใช้งานได้จริงและตอบโจทย์ของคนที่สนใจได้ เช่น เสื้อผ้า, อาหารเสริม, อุปกรณ์ออกกำลังกาย เป็นต้นหรืออาจสร้างพื้นที่ภายในเว็บเปิดโอกาสให้ลูกค้ารีวิวสินค้าเพื่อเป็นการโปรโมทว่ามีลูกค้านำไปใช้งานได้จริง

4.อัปเดตข้อมูลอยู่ตลอดเวลา

ภายหลังจากที่ทำเว็บไซต์มาได้ระยะหนึ่ง เจ้าของเว็บจะต้องคอยปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์อยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยเดือนละ1 ครั้ง เพื่อให้ Search Engine ได้เข้ามาตรวจสอบและเก็บข้อมูลกลับไปประมวลผล รวมถึงลูกค้าเองก็จะได้เข้ามาดูถึงการเปลี่ยนแปลงหรือมีผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่น่าสนใจสร้าง Traffic ให้กับเว็บไซต์ได้

5.เลือกใช้ keyword ให้เหมาะสม

Keyword เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่ช่วยให้ google ค้นหาเว็บไซต์ของคุณได้ รวมไปถึงการคาดการณ์ keyword ที่ลูกค้าต้องการจะใช้ในการค้นหาผ่านทาง google  เช่น ของแต่งรถ, รถซิ่ง, ท่อสูตร, ครีมหน้าขาว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำที่ผู้ใช้โดยทั่วไปค้นหา เจ้าของเว็บจะต้องเลือกใช้ keyword เหล่านี้ใส่ลงในบทความหรือความรู้ที่ต้องการจะเผยแพร่ตามความเหมาะสมด้วย

นอกจากนี้การทำเว็บไซต์ให้ประสบความสำเร็จได้นั้นนอกจากจะทำให้เป็นที่รู้จักแล้ว จะต้องสามารถวัดผลได้ด้วย เช่น ปริมาณการเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์และยอดขายต้องเพิ่มมากขึ้นถึงจะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง

สร้างช่องยูทูปให้ประสบความสำเร็จด้วย SEO

คุณทราบหรือไม่ว่า YouTube ก็จำเป็นต้องใช้หลักการ SEO หรือ search engine optimization เช่นเดียวกับการทำเว็บไซต์และเพจบน facebook เพื่อให้มียอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อันสัมพันธ์กับรายได้จากการโฆษณาและเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าต่าง ๆ

เรามาดูกันว่าถ้าจะทำ SEO สำหรับช่อง YouTube จะมีเทคนิคอย่างไรบ้าง

ตั้งชื่อไฟล์รูปตรงกับชื่อหัวข้อนำเสนอ
ไฟล์รูปกับหัวข้อของคลิปวิดีโอควรเป็นชื่อเดียวกัน และมี keyword อยู่ในนั้นด้วย เพื่อให้โอกาสในการถูกสืบค้นเจอมากขึ้น และมั่นใจว่าสาระจะตรงใจกลุ่มเป้าหมายที่กำลังค้นหาข้อมูลเรื่องนั้นพอดี ทำให้มีโอกาสได้ค่าโฆษณาจาก Youtube มากขึ้นตามไปด้วย ตามระยะเวลาการชม

1.ใส่รูปหน้าปกวิดีโอที่ดึงดูด
เราขอเปรียบเทียบการใส่หน้าปกวิดีโอ เหมือนกับการแต่งหน้า ทำผม ใส่เสื้อผ้า ที่สวยงาม จะช่วยสร้างความประทับใจแรกให้คนอยากรู้จักคุณ เช่นเดียวกับที่ผู้ใช้งาน Youtube จะตัดสินใจคลิกจากหน้าปกที่ดึงดูดที่สุด เมื่อถูกค้นหาเจอผ่าน keyword เดียวกัน โดยกำหนดขนาดภาพ ที่ 1280 x 720 และไฟล์ไม่ใหญ่เกินไปกว่า 2 MB

2.ทำลิงก์เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของคุณ
เชื่อว่าประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่ทำช่อง YouTube มีเว็บไซต์เพื่อรองรับกัน โดย youtube จะเป็นการใช้คลิปนำเสนอเรื่องที่น่าสนใจ ส่วนการทำเว็บไซต์มักเป็นส่วนของเนื้อหาที่ต้องใช้เวลาอ่านมาก การทำลิงก์เพื่อเชื่อมโยงระหว่างสองแพลตฟอร์มนี้จึงสำคัญมากและเป็นการเพิ่ม Traffic ให้ทั้งสองช่องทางได้ประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น

3.ใช้สถิติแนวโน้มจากหลังบ้าน Youtube มาพัฒนา
เจ้าของช่อง YouTube สามารถดูสถิติย้อนหลังได้ว่าคลิปใดเป็นที่นิยม หรือผู้คนพบคุณได้จากการค้นหา keyword คำใด และจะมาจากส่วนใดของโลก ทั้งยังบอกได้ถึงช่วงเวลาที่ผู้คนนิยมเข้ามาดูคลิป จะทำให้คุณปรับเปลี่ยนแนวทางการทำเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้นต่อไป

4.กระตุ้นให้คนกดกระดิ่ง subscribe
คุณเคยสงสัยหรือไม่ ว่าทำไมเจ้าของช่องจึงแนะนำให้คน subscribe นั่นก็เพราะทุกครั้งที่มีการอัปเดทคลิปใหม่ ๆ ระบบของ youtube จะส่งข้อความแจ้งไปยังผู้ติดตามให้ทราบ เพื่อคลิกเข้ามาชมได้รวดเร็ว เป็นการสร้างความจดจำแบรนด์ และทำให้เพิ่มยอดวิวได้มากขึ้น

5.ใส่คำอธิบายใน VDO description
การอธิบายว่าคลิปของคุณมีสาระเกี่ยวกับอะไร โดยใส่ keyword ในนั้นด้วย จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ถูกสืบค้นเจอมากขึ้น หากคุณนึกไม่ออก ก็ให้คุณคิดถึงหัวข้อย่อยต่าง ๆ ในคลิปแล้วนำมาเขียนก็ได้

การทำ SEO ให้ช่องยูทูปประสบความสำเร็จนั้น ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว เจ้าของช่องที่ต้องการขยายกลุ่มผู้ชมให้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต้องหมั่นศึกษากลยุทธ์และพัฒนาสิ่งที่นำเสนอ ให้มีสาระและความบันเทิงดึงดูดใจผู้ชมพร้อมกัน แม้จะเหนื่อยบ้าง แต่ผลที่ได้ย่อมคุ้มค่าแน่นอน

เพราะอะไร SEO จึงเป็นเครื่องมือการตลาดที่สำคัญในยุคนี้

หากพูดถึงเครื่องมือการตลาดที่มาแรงเป็นอย่างยิ่งในยุคที่การตลาดออนไลน์กำลังแรงอย่างเช่นทุกวันนี้ เชื่อว่าจะต้องมีชื่อของ SEO หรือ การทำ Search Engine Optimization หนึ่งในเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่หลายธุรกิจหันมาให้ความสำคัญ นั่นเพราะ SEO มีจุดเด่นที่ช่วยเสริมการทำการตลาดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและเหมาะอย่างยิ่งสำหรับยุคปัจจุบัน

เพราะอะไร SEO จึงสำคัญในยุคการตลาดออนไลน์มาแรง

  • การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค
    หากเป็นเมื่อก่อนนี้การค้นหาข้อมูลแต่ละครั้งอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หลังจากมีอินเทอร์เน็ตเข้ามารวมถึงการพัฒนาของเทคโนโลยี ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ เป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่ว่าจะอยากรู้อะไรหรืออยากค้นหาเรื่องไหนก็ง่ายแค่ปลายนิ้ว การที่ผู้ประกอบการทำ SEO จึงสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนี้เป็นอย่างมาก เพราะเมื่อผู้บริโภคกดค้นหาข้อมูลที่ต้องการผ่าน Search Engine ก็จะมีโอกาสพบเว็บไซต์ของผู้ประกอบการได้ง่ายขึ้น
  • สอดคล้องกับเทรนด์การตลาดออนไลน์ที่กำลังมาแรง
    ย้อนกลับไปในยุคที่ยังไม่มีเครื่องมือการตลาดออนไลน์ แน่นอนว่าการทำการตลาดส่วนใหญ่จะทำในรูปแบบออฟไลน์ เช่น การซื้อโฆษณาโทรทัศน์ การซื้อโฆษณาในหนังสือพิมพ์ การประชาสัมพันธ์ ณ จุดขาย ฯลฯ แต่ในยุคการตลาดออนไลน์มาแรง การที่ผู้ประกอบการหันมาทำ SEO นอกจากสอดคล้องพฤติกรรมผู้บริโภคแล้วยังสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจมีการปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์การตลาดและพัฒนาตนเองให้เท่าเทียมคู่แข่งตลอดเวลา
  • ให้ผลลัพธ์ระยะยาว
    นักการตลาดออนไลน์ทราบดีอยู่แล้วว่าการทำ SEO ต้องอาศัยระยะเวลาเพื่อก้าวสู่อันดับที่ดีขึ้นใน Search Engine และหากทำได้สำเร็จ เพียงหมั่นรักษามาตรฐานแก่เว็บไซต์ก็จะสามารถรักษาอันดับได้ในระยะยาว ทำให้เว็บไซต์ผู้ประกอบการจะถูกทำให้เห็นเป็นอันดับต้น ๆ และยังอาจกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของผู้ใช้งานเสมอ
  • ตัวช่วยเพิ่มยอดขายและเจาะกลุ่มเป้าหมายได้จริง
    การที่ผู้บริโภคกดค้นหาสินค้าและบริการ ย่อมแสดงให้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายมีความสนใจซื้อสินค้าและบริการนั้น ๆ การทำ SEO จึงมีส่วนช่วยสร้างการจดจำ เพิ่มความน่าเชื่อถือ และยังเพิ่มโอกาสตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จริง อีกทั้งยังได้พบกลุ่มเป้าหมายมีคุณภาพ เพราะกลุ่มเป้าหมายนั้น ๆ ต้องการค้นหาสินค้าหรือบริการของผู้ประกอบการอยู่แล้ว ที่สำคัญการตลาดผ่าน SEO ถือว่าใช้งบประมาณไม่มาก เพราะเน้นจัดระเบียบเว็บไซต์ให้เข้าเกณฑ์การให้คะแนนของ Search Engine เป็นสำคัญ

ทั้งหมดนี้คือเหตุผลทำให้ SEO คือเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่เหมาะอย่างยิ่งในยุคนี้ และถึงแม้ว่า SEO จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจมีโอกาสเจอกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นและมีโอกาสเพิ่มยอดขาย แต่ถึงอย่างนั้นผลประกอบการไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำ SEO เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะผู้ประกอบการจำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการควบคู่กับการทำการตลาดด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อเสริมให้ธุรกิจแข็งแรงมากยิ่งขึ้น