สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มทำ SEO ให้เว็บไซต์ออนไลน์

การทำ SEO ไม่ใช่เป็นเพียงเทรนด์การตลาด แต่เป็นสิ่งที่ควรทำให้แก่ทุกเว็บไซต์ เนื่องจากจะทำให้ถูกสืบค้นได้ง่าย จากการพิมพ์ keyword SEO ใน Search Engine อย่าง Yahoo และ Google จากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จึงช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างฐานลูกค้าที่กว้างขวางขึ้นได้ในระยะยาว

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ต้องมีการพัฒนาเว็บไซต์ใน 2 ส่วน ดังนี้

1. On-Page SEO

ได้แก่ การผลิตบทความในเพจ ที่ต้องเลือก keyword SEO ที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วว่าตรงกับที่กลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ใช้ค้นหา ซึ่งปัจจุบันควรใช้ Niche Keyword ที่มีความจำเพาะเจาะจงมากขึ้น

เช่น ใช้คำว่า “รองเท้ากีฬา วิ่ง ผู้หญิง สีชมพู Nike รุ่น” จะทำให้มีโอกาสได้รับการคลิกเข้ามาชมและมียอดขายได้มากกว่า การใช้คำว่า “รองเท้าวิ่ง”

นอกจากนี้ ต้องมีการออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่าย ทั้งบนโทรศัพท์มือถือและหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่สั่งสินค้าทางมือถือมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

2. Off-Page SEO

คือ การเชื่อมโยงลิงก์กับเว็บไซต์ภายนอก เช่นการไปตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ และแนบ Link ไว้เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาดูข้อมูลเพิ่มในเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณ

เทคนิคนี้จะทำให้ได้ขยายแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น และเป็นการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณ จึงทำให้อันดับของ SEO ดีขึ้นตามไปด้วย

ทั้งนี้ ระบบ Algorithm ของ Search Engine จะเป็นผู้ที่ประมวลผลการพัฒนาเว็บไซต์ทั้งหมด หากไม่เป็นตามหลักการของ SEO ก็จะถูกจัดอันดับให้ตกลงไปด้านล่าง เช่น เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเป็น spam ใส่ keyword ที่ไม่ตรงกับสินค้า ใช้การคัดลอกเนื้อหาและภาพซึ่งเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังต้องหมั่นอัพเดทข้อมูลและพัฒนาเว็บไซต์ SEO อย่างสม่ำเสมอ เพราะหากคุณหยุดนิ่ง ก็ทำให้เว็บไซต์อื่นมีอันดับที่สูงกว่าได้ เรียกได้ว่าการทำ SEO ทำให้ผู้ที่มีความจริงจังในการพัฒนาเว็บไซต์ได้เปรียบคู่แข่งอย่างมาก

นับว่าเป็น ข้อดีที่สำคัญของการทำ SEO เพราะทำให้ทุกธุรกิจ ไม่ว่าเป็นองค์กรเล็กหรือใหญ่ ย่อมมีโอกาสปรากฏสู่สายตาของลูกค้าผู้บริโภคเท่าเทียมกัน ไม่สามารถผูกขาดอันดับ SEO ได้ (นักธุรกิจออนไลน์หน้าใหม่ จึงคลายความกังวลได้ เพียงใช้เวลา 2-3 เดือนในการทำ SEO อย่างต่อเนื่อง ก็สามารถมีศักยภาพในการแข่งขันที่มากทัดเทียมกับเจ้าตลาดรายเก่า)

การทำ SEO จึงต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือจ้างบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ ที่สำคัญ คือ ต้องมีการวัดผลการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจเมื่อทำ SEO เป็นระยะ จึงจะเกิดการพัฒนาเว็บไซต์อย่างเป็นระบบ และบรรลุเป้าหมายในการทำธุรกิจออนไลน์ได้อย่างงดงาม

พัฒนาเว็บไซต์ SEO อย่างสม่ำเสมอ

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ SEO ในปี 2019

การขายของออนไลน์ในปัจจุบันมีคู่แข่งทางธุรกิจจำนวนมาก เพราะความสะดวกในการเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตที่มีความไวระดับ 5G ทำให้ใคร ๆ ก็นำสินค้าและบริการมาเสนอขายได้อย่างง่ายดายทั่วโลก เพราะเป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้ซื้อส่วนใหญ่ ที่มีการสั่งซื้อสินค้าผ่านมือถือมากกว่า 90%

ผู้ที่จะทำเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าออนไลน์ จึงต้องทำให้เป็นระบบ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อช่วยเพิ่มอำนาจการแข่งขันให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

SEO เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ Search Engine อย่าง Yahoo, Bing Google กำหนดไว้ โดยจะต้องมีการพัฒนาใน 2 ส่วนคือ

1. On-Page SEO

หมายถึง การปรับที่ส่วนโครงสร้างและองค์ประกอบหน้าเว็บไซต์ ซึ่งทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่คลิกเข้ามาดูข้อมูลสินค้าหรืออ่านบทความในหน้าเพจมีความประทับใจและอยากกลับมาใช้บริการซ้ำอีก ได้แก่

การปรับให้โครงสร้างเว็บไซต์สวยงาม ทั้งตัวอักษร โลโก้ การจัดวางหมวดหมู่ ที่สร้างความจดจำได้ยาวนาน

ใช้งานง่ายทั้งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์และผ่านโทรศัพท์มือถือ

ใช้ Keyword SEO เป็นส่วนประกอบในบทความอย่างเหมาะสมโดยปัจจุบันควรเลือก Niche Keyword ที่มีสถิติพบว่าตรงกับที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ ใช้ค้นหาผ่านช่อง Search ของ Yahoo, Bing Google มากที่สุด

บทความ SEO ที่ผลิตออกมา ในแต่ละเพจควรใช้ Keyword SEO ไม่เกิน 2-3 คำ โดยซ้ำไม่เกิน 2-3 ตำแหน่ง จึงจะทำให้ไม่ถูกระบบอัลกอริทึมวิเคราะห์ว่าเป็นบทความขยะหรือ Spam

มีศิลปะและไอเดียสร้างสรรค์ในการทำสื่อประกอบบทความที่ตรงใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มีการเลือกสีที่เหมาะสมกับแบรนด์สินค้าตัวอย่างเช่น สินค้าออร์แกนิกที่เน้นความเป็นธรรมชาติและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ควรจะใช้สีครีม สีเขียว สีน้ำตาล เป็นสีประจำของเว็บไซต์ เพราะมีความหมายที่สื่อถึงความเป็นธรรมชาติ ไร้สารพิษ เป็นต้น

2. Off-Page SEO

มีเทคนิคที่นิยม คือ การทำ Backlink เชื่อมโยงหลายเว็บไซต์เข้าด้วยกัน เช่น การที่คุณไปเข้าร่วมในกลุ่มสนทนาในห้องแชทออนไลน์ต่าง ๆ แล้ว ร่วมตอบคำถามให้ความคิดเห็น หรือให้ความรู้ที่มีประโยชน์ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือความเชี่ยวชาญที่คุณมี เช่น หากคุณจำหน่ายรองเท้าเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ก็ควรเข้าในกลุ่มสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ หรือกลุ่มครอบครัว เพื่อให้ตรงกับความสนใจของสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งหากมีผู้ที่สนใจสินค้าจำพวกรองเท้าเพื่อสุขภาพ คุณสามารถแนะนำเว็บไซต์ของคุณได้ การใช้วิธีนี้จะทำให้ไม่โดนแบนออกจากกลุ่ม และเป็นการสร้างฐานลูกค้าใหม่ที่ได้ผลดีมาก

การทำเว็บไซต์ SEO เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาในหลายส่วนพร้อมกัน หากคุณต้องการให้การขายสินค้าออนไลน์ ประสบความสำเร็จ ก็จำเป็นต้องศึกษาเพื่อให้นำความรู้มาปรับใช้ให้ธุรกิจเติบโตได้มากที่สุดในปี 2019 นี้

เทคนิคที่นิยม คือ การทำ Backlink เชื่อมโยงหลายเว็บไซต์

วิธีทำให้เว็บไซต์ SEO ตรงใจลูกค้าผู้ใช้งาน อยากขายดีต้องอ่าน

การทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ให้ตรงใจลูกค้าเป้าหมายจนขายดีได้นั้น ไม่สามารถเน้นที่แค่ความสวยงามของเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว ยังต้องอาศัยองค์ประกอบอื่น ๆ และมีการพัฒนาเว็บไซต์ตามหลัก SEO อย่างสม่ำเสมอด้วย จึงจะเห็นผลลัพธ์ความสำเร็จทั้งยอดขายและจำนวนลูกค้าได้

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคการตลาดแบบไม่ต้องใช้เงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณา เพียงแต่อาศัยการปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์ให้เหมาะสม ตามที่ Search Engine ระบุเกณฑ์ไว้ ซึ่งมีกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเว็บไซต์ออนไลน์ออกมาแนะนำวิธีการทำ SEO มากมาย

เราขอสรุปหลักการที่ควรทราบ เพื่อให้เว็บไซต์ SEO ที่ทำตรงใจกลุ่มเป้าหมาย จนเพิ่มยอดขายได้จริง ดังนี้

1. เลือก Keyword ที่เหมาะสม ควรใช้เป็น Long-Tailed Keyword ทำให้ตรงกับการสืบค้นของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากกว่าการใช้ Keyword กว้าง ๆ ทั่วไป

ตัวอย่างเช่น ใช้คำว่า ร้านขายดอกไม้ รับปริญญาออนไลน์ราคาถูก ดีกว่าใช้คำว่า ร้านขายดอกไม้ออนไลน์ เป็นต้น จะมีโอกาสขายให้คนที่กำลังมองหาดอกไม้ราคาถูกให้บัณฑิตช่วงรับปริญญาได้ดียิ่งขึ้น

2. เลือก Web Hosting ที่มีคุณภาพ เพื่อให้ระบบการบริหารจัดการราบรื่น ทั้งยังมีทีมงานที่ดูแล Server แก้ปัญหาให้อย่างรวดเร็ว ไม่มีปัญหาเว็บค้าง หรือใช้เวลาดาวน์โหลดนานซึ่งจะส่งผลต่อความประทับใจของผู้ใช้งาน อย่าลืมว่า แม้ว่าทำเว็บไซต์ SEO ได้ดีมีคุณภาพ แต่ถ้าใช้เวลาโหลดนานก็อาจไม่เป็นที่ประทับใจ ทั้งนี้ มีการวิจัยว่าหากรอคอยการโหลดนานเกิน 3 วินาที จะทำให้ผู้ใช้งานกดปิดและเปลี่ยนไปดูข้อมูลจากเว็บไซต์อื่นแทน

3. เลือกทีมงานผู้ผลิตบทความ SEO ที่มีคุณภาพ มากกว่าการเลือกจากราคาบทความที่ถูก เพราะเนื้อหาเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าได้รับความรู้และเชื่อมั่นในแบรนด์สินค้า เทคนิคการเขียนที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ อีกทั้งต้องไม่มีการคัดลอกบทความมาจากแหล่งอื่น บทความที่มีคุณภาพจะทำให้ค่าทางสถิติ เช่น ระยะเวลาในการชมเพจ หรือ Time On Site ยาวนาน มีการคลิกเข้ามาชม Click Through Rate (CTR) เป็นสัดส่วนที่สูง ซึ่งยิ่งส่งผลดีต่ออันดับ SEO ได้ด้วย

4. การตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้าและบริการในเว็บไซต์ในสังคมโซเชียล เช่น Pantip จะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น และสามารถที่จะแนะนำลิงก์ เพื่อให้ผู้ที่ต้องการข้อมูลมาสอบถามหรือชมสินค้าของคุณ จนมีการเพิ่มยอดขายที่ดีในระยะยาวได้

จะเห็นได้ว่า หากต้องการให้เว็บไซต์ตรงใจผู้ซื้อ จนเพิ่มยอดขายจากการทำ SEO แล้ว ต้องใช้หลายเทคนิคร่วมกันและมีความสม่ำเสมอในการทำ แม้ต้องใช้เวลา 5 ถึง 6 เดือนขึ้นไปกว่าจะเห็นผลชัดเจน แต่กูรูเว็บไซต์การันตีว่ายอดขายจะเพิ่มมากขึ้นแน่นอน

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization

SEO ปี 2019 ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

ในการทำคอนเทนต์การตลาดแบบ SEO มีเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงเข้มข้นมากขึ้น จำเป็นที่จะต้องพัฒนาเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อที่เราจะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งทางธุรกิจของเราได้ผ่านบทความ การสื่อสารหรือ SEO และสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้คือ ความชัดเจนในการทำธุรกิจว่าเราทำธุรกิจอะไร และกำลังสื่อสารกับใครอยู่ เพื่อที่จะได้สื่อสารแบรนด์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น การทำ SEO ก็เช่นเดียวกัน ต้องมีการอัปเดตการทำ SEO แบบใหม่ ๆ อยู่เสมอ และสิ่งที่ SEO ปี 2019 สิ่งที่ต้องคำนึงมีดังต่อไปนี้

กำหนดเป้าหมายในการสื่อสารให้ชัดเจน

สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ผู้ทำระบบ SEO จะต้องรู้และกำหนดก็คือ การรู้ว่าต้องการจะสื่อสารกับใครลูกค้าเป็นลูกค้ากลุ่มไหน ซึ่งสิ่งนี้สำคัญมากกว่าการกำหนดเป้าหมายในการค้นหา เนื่องจากที่มาของข้อมูลมาจากกลุ่มผู้คน ดังนั้นเราจะต้องรู้ว่าลักษณะนิสัย ความชอบ ค่านิยม สิ่งที่กลุ่มเป้าหมายเราเป็นอย่างไร และต้องการอะไร เพื่อที่เราจะได้สื่อสารได้ถูกต้อง และตรงกลุ่มเป้าหมาย

SERP คือ สิ่งที่การตลาดให้ความสำคัญ

SERP (Search Engine Result Page) มีหน้าที่ในการค้นหาข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูลของ Google ดังนั้น สิ่งที่คนทำ SEO ให้ความสำคัญคือ การทำให้หน้าเว็บไซต์ของสินค้า และบริการของตนนั้นติดอันดับหน้าแรกของกูเกิล หรือในการค้นหา เพราะจะมีผลในการตัดสินใจของลูกค้า หรือผู้ที่มาค้นหาสิ่งนั้น ๆ

Content ที่สร้างจะต้องมีคำที่เป็น Keyword

สิ่งสำคัญในการทำคอนเทนต์ให้ติดหน้าแรกได้นั่นก็คือ คีย์เวิร์ด คีย์เวิร์ดจะเป็นตัวที่ทำให้ลูกค้าหาเราเจอ โดยGoogle จะทำการเลือกบทความหรือ คอนเทนต์ที่มีประโยชน์มีคุณภาพ สด ใหม่ และตรงตามคีย์ของการค้นหา ดังนั้นการทำ SEO จึงต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะสื่อสารให้ชัดเจน จากนั้นจึงกำหนดคีย์เวิร์ดให้เกี่ยวข้องสิ่งที่ผู้คนต้องการค้นหาให้ได้มากที่สุด

ประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญในการทำ SEO

เพื่อความง่ายต่อการค้นหาของผู้คนที่ต้องการค้นหาข้อมูลในครั้งถัดไป จำเป็นที่จะต้องมีการบันทึกประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ใช้ง่ายและไม่เกิดความสับสนยุ่งยากมากเกินไป ไม่เสียเวลาในการโหลดหน้าจอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการใช้งานแบบมือถือ สิ่งสำคัญของเว็บในการใช้งานคือ UI (User Interface) ที่ต้องการการทำงานที่ไม่ซับซ้อนจนเกินไปต่อการค้นหาข้อมูลและการทำงานของเว็บไซต์

การปรับแต่งเว็บไซต์ภายในบนเว็บเพจ

การปรับแต่งเว็บเพจเป็นการปรับแต่งการใช้งานที่ต้องการนำเสนอเพื่อรองรับกลุ่มคนที่เราต้องการเข้ามานั่นคือ ความสะดวกในการเข้ามาค้นหาและอ่านข้อมูล ดังนั้นสิ่งที่เจ้าของเว็บจะต้องจัดเตรียมคือ การกำหนดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ มีคีย์เวิร์ดประกอบในการใช้งาน และการรักษาประสบการณ์ของผู้ใช้เอาไว้ด้วย

ในปี 2019 เป็นปีที่มีการแข่งขันการทำ SEO เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงก็คือ คีย์เวิร์ดของกลุ่มลูกค้า โดยศึกษาลูกค้าของแต่ละกลุ่มให้ดีเพื่อไม่ให้ข้อมูลนั้นสูญเปล่า และจะต้องเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเป็นที่ต้องการสูง จึงจะทำให้เว็บนั้นติดหน้าแรก อีกทั้งการเข้าถึงข้อมูลจะต้องง่ายและไม่ซับซ้อนจนเกินไป รองรับการเข้าใช้งานผ่านมือถือสมาร์ทโฟน

กำหนดเป้าหมายในการสื่อสารให้ชัดเจน

ลิงก์แบบ Do Follow คืออะไร มีผลกับ SEO อย่างไร

เมื่อเจ้าของธุรกิจสร้างเว็บไซต์ใหม่ ต้องการโปรโมทให้เว็บติดอันดับหน้าแรกของเครื่องมือค้นหามีหลายวิธี แต่ละวิธีให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นคือการสร้างลิงก์แบบ Do Follow เป็นวิธีการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่นเพื่อเพิ่มคะแนน SEO โดยไม่สร้างจุดด่างพร้อยเพราะไม่ผิดกติกาของ Google การสร้างลิงก์แบ่งออกเป็น Do Follow และ No Follow มีรายละเอียดแตกต่างกันดังนี้

Do Follow สร้างลิงก์เพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บ

การสร้างลิงค์ Do Follow เป็นการเชื่อมโยงจากเว็บไซต์ไปยังเว็บอ้างอิงอื่น ๆ พร้อมกับส่งต่อลิงก์กลับมายังเว็บของตนเองเพื่อเปิดการค้นหาติดตามทำให้ผู้ชมคลิกกลับมายังเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและเครื่องมือค้นหาสามารถติดตามได้เช่นเดียวกัน เรียกว่าทั้งเพิ่มจำนวนลิงก์ (Back Link) ให้เว็บของตัวเองและช่วยเพิ่มค่าอันดับ (PageRank) ด้วย บอทของเครื่องมือค้นหาจะนับจำนวนคนเข้า ด้วยเหตุนี้ยิ่งมีลิงก์มากเท่าไรก็จะได้รับคะแนน SEO มากขึ้นซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเว็บไซต์ให้ได้รับการจัดลำดับในอันดับที่ดีขึ้น วิธีดีที่สุดคือการเขียนบทความที่มีประโยชน์ น่าอ่าน โดยใช้คำหลักเป็นตัวยึดข้อความเชื่อมโยงกับคำค้นหาของผู้ใช้เสิร์จเอนจิ้นนั่นเอง การตั้งค่า Do Follow นับเป็นสิ่งสำคัญเพราะทำให้ได้ลิงก์กลับมาจากทุกที่ รวมถึงลิงก์ติดตามจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้อีกด้วย

No Follow

การตั้งค่า No Follow หมายถึงการสร้างลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บอื่นโดยไม่เปิดให้เครื่องมือค้นหาติดตามลิงก์ จึงไม่มีการนับคะแนนแบบการทำ SEO แต่ยังเชื่อมโยงให้ผู้ชมคลิกย้อนกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณได้ มีจำนวนผู้เข้าชมมากขึ้น แตกต่างตรงที่ไม่มี BackLink กลับมาที่เว็บของตัวเอง และไม่ช่วยเพิ่มค่าอันดับของหน้าเว็บไซต์ให้สูงขึ้น ถือเป็นวิธีการสร้างลิงก์แบบธรรมชาติที่ปลอดภัย ไม่เสี่ยงกับลิงก์คุณภาพต่ำที่เป็นอันตรายต่อเว็บไซต์ ถึงจะไม่เพิ่มอันดับเว็บแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลิงก์นั้นไม่มีประโยชน์ เพราะการที่เว็บไซต์มีการเข้าชมจำนวนมากให้ประโยชน์มากมาย ช่วยให้เว็บเป็นที่รู้จักมากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการขายมากกว่าคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน

การตรวจสอบลิงก์ว่าเป็น Do Follow หรือ No Follow มีข้อแตกต่างดังนี้

ลิงก์ Do Follow เช่น SE Ranking

ลิงก์ No Follow เช่น SE RankingDo Follow สร้างลิงก์เพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บ

เว็บมาสเตอร์ที่เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรใช้ผสมผสานทั้ง Do Follow และ No Follow ต้องสร้างความสมดุลให้ดี เพราะการสร้างลิงก์ขาเข้าเป็น Do Follow ทั้งหมดจะน่าสงสัยและไม่เป็นธรรมชาติ อย่ามองว่าลิงก์ประเภท No Follow ไม่มีค่าสำหรับ SEO แต่ควรมองประโยชน์ในด้านทำให้ธุรกิจและแบรนด์เป็นที่รู้จัก ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น การสร้างลิงก์แบบ No Follow เหมาะใช้ในกรณีที่ไม่ต้องการติดตามเนื้อหาในเว็บที่ไม่น่าเชื่อถือ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในระยะยาว การสร้างลิงก์ Do Follow และ No Follow ให้ผลลัพธ์ที่ดีแตกต่างกันไปและถูกกว่าการทำโฆษณาแบบอื่น ๆ มาก การรอผลลัพธ์นั้นต้องใช้เวลาแต่จะช่วยให้เข้าไปอยู่ในหน้าแรก ๆ ในการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google ได้อย่างแน่นอน

จะใช้งบประมาณที่มีอยู่ทำ SEO หรือ SEM ดีกว่ากัน

การตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน มีการแข่งขันกันสูงเพื่อให้ได้อันดับต้น ๆ Top 5 หรือ Top10 ในการนำเสนอบนหน้าต่างการสืบค้นของ Google, Bing และ Yahoo ทำให้ได้ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมในเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องและทำให้มียอดขายที่สูงขึ้น ทั้งเทคนิค SEO และ SEM ต่างเป็นวิธีการตลาดออนไลน์ยุคใหม่ที่มีการนิยมใช้อย่างมาก แต่หากมีงบประมาณที่จำกัดก็ทำให้หลายคนเกิดความลังเลใจว่าควรจะเลือกทำสิ่งใดดี

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ SEO และ SEM เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นมาฝากกัน ดังนี้

1. SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการทำการตลาดออนไลน์แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้ Search Engine โดยเน้นที่การสร้างเว็บไซต์ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่ Google, Bing และ Yahoo วางไว้ ทั้งด้านเนื้อหา รูปภาพประกอบ และสื่อมัลติมีเดียที่ช่วยให้ลูกค้าหรือผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเข้ามาชมในเว็บไซต์ ดังนั้น ต้องคำนึงถึงความทันสมัย ไม่มีการคัดลอกจากที่อื่น มีแหล่งอ้างอิงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น

นอกจากนี้ การทำเว็บไซต์ SEO ให้ใช้งานได้ง่าย ทั้งบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ส่วนการทำเชื่อมโยง Link ไปสู่เว็บไซต์อื่น ๆ เช่น ห้องแชทที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เพื่อที่คุณจะได้แนะนำเว็บไซต์ของคุณ ก็เป็นเทคนิคที่นักธุรกิจเว็บไซต์ออนไลน์ยุคใหม่นิยมทำกัน หากคุณมีทักษะทำ SEO เอง ก็ไม่ต้องจ้างทีมงาน หรืออาจเลือกจ้างมืออาชีพในงานที่คุณไม่ถนัด เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายแต่ได้ผลงานที่ดีน่าพอใจได้

2. SEM หรือ Search Engine Marketing จะเป็นการประมูลพื้นที่เพื่อโฆษณาเว็บไซต์ของคุณในอันดับ 1-5 ของหน้าต่างการสืบค้น ทำให้มีโอกาสได้รับการคลิกเข้ามาชมและเลือกซื้อสินค้าอย่างเห็นผลในทันที ซึ่งจะต้องมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นหากคุณใช้ keyword ตรงกับคู่แข่งทางการค้าและเมื่อมีการคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณผ่านลิงก์โฆษณา คุณก็จะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะซื้อสินค้าหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเรียกว่าค่าใช้จ่ายแบบ Pay Per Clickประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ SEO และ SEM

การทำ SEM จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำนวนมาก หรือจะใช้งบประมาณเป็นครั้ง ๆ ตามแผน เพื่อที่จะสนับสนุนโปรโมชั่นหรือกระตุ้นยอดขายเป็นช่วง ๆ ก็จะเห็นผลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า หากคุณมีงบประมาณที่จำกัดการเลือกแนวทางประชาสัมพันธ์เว็บไซต์แบบ SEO หรือ SEM ต้องขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า เป้าหมายทางธุรกิจ และจังหวะของแผนธุรกิจ เช่น ช่วงต้น กลาง และปลายปี ที่จะมีโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายต่างกัน ซึ่งหากทำควบคู่กันได้ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น คุณอาจปรึกษาผู้ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในการทำ SEO และ SEM ก็จะได้คำตอบหรือแนวคิดที่ดียิ่งขึ้น

โครงสร้างเว็บไซต์แบบไหนที่เป็นมิตรกับ SEO

ธุรกิจยุคนี้จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ แม้ว่าโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ Pinterest ที่เข้าถึงลูกค้าง่าย และสะดวกกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลคือโครงสร้างของเว็บไซต์นำเสนอข้อมูลอย่างละเอียดและยังสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น การที่จะทำให้ธุรกิจมีศักยภาพการแข่งขันสูงจำเป็นต้องมีช่องทางที่ไว้วางใจได้เพื่อให้โดดเด่นกว่าคู่แข่ง ทั้งนี้ โครงสร้างเว็บไซต์ถือเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ SEO จำเป็นต้องจัดระเบียบหน้าเว็บให้ผู้ใช้งานค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่าย ทำให้ธุรกิจดีขึ้นและยังส่งผลให้เว็บไซต์ติดในอันดับต้น ๆ ของ Google ด้วย

มาดูกันว่าเว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คืออะไร

เว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คือการจัดลำดับหน้าเว็บเรียงลำดับความสำคัญ หน้าเว็บที่อัดแน่นข้อมูลสำคัญที่สุดและบทความดีที่สุดในเว็บไซต์ทำให้ Google เห็นว่าหน้านั้นสำคัญและมีผลให้เว็บติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหา เว็บไซต์ที่ได้รับการวางแผนมาเป็นอย่างดีจะมีโครงสร้างที่ชัดเจนช่วยให้จัดทำดัชนีได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีหน้าเพจหลายระดับมาก เช่น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ และแคตตาล็อกธุรกิจ ถ้าจัดลำดับอย่างเป็นระเบียบและมีการเชื่อมโยงกันจะช่วยหลีกเลี่ยงเนื้อหาและหน้าเพจที่ซ้ำซ้อน ประโยชน์ที่แท้จริงของเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างที่ดีคือสร้างความประทับใจให้ลูกค้าเป้าหมาย

เว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คือการวางแผนผังเว็บไซต์แสดงรายการหน้าทั้งหมดเพื่อช่วยจัดระเบียบเนื้อหาในเว็บไซต์ตามลำดับหมวดหมู่และลำดับความสำคัญ สามารถสร้างลิงก์เชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องไปถึงโพสต์และหน้าอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์ นอกจากนั้นยังสร้างการเชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องในเว็บภายนอกอื่น ๆ ด้วย การวางแผนผังที่ดีจะแสดงลำดับเมนูให้ผู้ใช้ทราบว่าตอนนี้กำลังอยู่ตรงส่วนใดของเว็บไซต์ จะหาทางค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้อย่างไร รวมถึงวิธีกลับไปที่หน้าแรกด้วย

เว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คือการคัดเลือกคีย์เวิร์ดหลักและรองมาอย่างดี กระจายคำหลักอย่างเหมาะสมทั่วทั้งหน้าเว็บไซต์เพื่อให้ SEO ทำงานได้ดีขึ้นและผู้ใช้สามารถค้นหาหน้าที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย รวมถึงใส่กลุ่มคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ควรใช้คำที่หลากหลายกระจายกันบนหน้าเว็บที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างลิงก์ภายในเว็บให้มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือมากขึ้นมาดูกันว่าเว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คืออะไร

สังเกตได้ว่าเว็บไซต์ที่ค้นหาข้อมูลง่ายจะมีวิธีการจัดหน้าและลำดับชั้นเป็นระเบียบเรียบร้อย เริ่มจากหน้าแรกเป็นหน้าที่จะเชื่อมโยงไปถึงข้อมูลหลักของเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจอย่างชัดเจน ถัดจากหน้าแรกคือส่วนหลักเป็นหน้าที่จะเชื่อมโยงไปถึงสินค้าหรือบริการ ซึ่งแบ่งเป็นหมวดหมู่เพื่อให้ผู้ใช้ค้นหาได้ง่าย ต่อไปคือส่วนย่อยเป็นหน้าที่อธิบายคุณสมบัติของสินค้าและบริการที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ในส่วนย่อยจะซับซ้อนและมีหลายระดับ จึงต้องเรียงไปตามลำดับความสำคัญ เพราะข้อมูลที่เพิ่มเติมเข้ามาเรื่อย ๆ จะทำให้เว็บขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นเคล็ดลับในการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นมิตรกับกลยุทธ์ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ทำอันดับได้ดีขึ้น

การเลือกบริษัททำเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพ

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการตลาดออนไลน์ที่ช่วยให้เว็บไซต์อันดับดีและมีลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันมีความนิยมในการจ้างบริษัทเอกชนทำ SEO เป็นจำนวนมาก บางบริษัทก็ทีมงานมีประสบการณ์สูง แต่บางบริษัทก็โฆษณาเกินความจริง จนทำให้เจ้าของธุรกิจเว็บไซต์ต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายในการทำ SEO โดยที่ได้งานคุณภาพต่ำ

ในบทความนี้ จึงได้รวบรวมวิธีการเลือกตัวเลือกบริษัททำเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพมาฝากกัน ดังนี้

1. การการันตีผลในการทำ SEO เนื่องจากระบบ Algorithm ของ Yahoo และ Google มีความซับซ้อน ไม่สามารถมีบริษัททำ SEO ที่ยืนยันได้ 100% ว่าจะทำให้เว็บไซต์มีอันดับที่ 1 ในหน้าต่างการสืบค้นได้ ถ้าบริษัทที่จะจ้างการันตีว่าจะทำให้เป็นอันดับที่ 1 ก็มีแนวโน้มที่จะถูกหลอกลวงหรือได้รับงานที่ไม่ตรงกับความคาดหมาย

2. การทำเว็บไซต์ SEO มีองค์ประกอบอยู่หลายส่วน ผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำเว็บไซต์จะสามารถบอกได้ว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลัง มีลำดับขั้นตอนชัดเจนที่สามารถบอกผู้ที่จ้างงานได้ ถ้าบริษัทรับจ้างทำ SEO เริ่มต้นจากการทำ Keyword ก็มีแนวโน้มที่จะไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะควรทำส่วนของโครงสร้างเว็บไซต์ (on site Technical audit) ที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด ก่อนจะไปทำส่วนอื่น ๆ เพื่อเป็นการยืนยันว่าระบบการเชื่อมโยงข้อมูลใช้งานได้จริงไม่มีปัญหาที่จะทำให้ธุรกิจออนไลน์หยุดชะงัก

3. การทำ SEO มีสัญญาหรือแพ็คเกจระยะเวลากี่เดือนถึงกี่ปี ถ้ายกเลิกก่อนสัญญา อาจจะต้องมีการเสียค่าปรับระบบได้ เจ้าของเว็บไซต์ที่คิดจะจ้างทำ SEO จึงต้องสอบถามก่อนว่า ถ้างานไม่สำเร็จหรือมีวิธีตรวจสอบคุณภาพงานแบบใดบ้าง เช่น รายงานผลการทำ SEO วิธีการเช็คผลผู้เข้ามาในเว็บไซต์ ฯลฯ หากคุยกันให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น ก็จะป้องกันปัญหาในระยะยาวได้

4. ระบบ Algorithm ของ Search Engine จะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในปัจจุบัน มีระบบ PANDA เพื่อหาความซ้ำของบทความ ระบบ PENGUIN เพื่อเช็คคุณภาพของลิ้งค์ ระบบ HUMMINGBIRD เช็คการใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ

ดังนั้นการทำ SEO เพื่อให้ได้อันดับที่ดีจาก Search Engine จึงต้องมีการพัฒนาตามไปด้วย บริษัทที่ทำ SEO จึงต้องสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพงาน ให้ไม่มีปัญหาเมื่อนำบทความและสื่อมัลติมีเดียต่าง ๆ ขึ้นบนเว็บไซต์ ทั้งนี้เจ้าของเว็บไซต์ควรทำการศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับระบบ AI ด้วย เพื่อทำให้สามารถคุยกันได้เข้าใจยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า สิ่งที่กล่าวมาทั้ง 4 ข้อนี้ สำคัญต่อการเลือกบริษัททำเว็บไซต์ SEO เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา และช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของลูกค้าในระยะยาวได้ด้วย

การเลือกบริษัททำเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพ

ค้าขายออนไลน์ต้องรู้ SEO คืออะไร

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยให้ผู้ค้าขายออนไลน์สามารถมียอดขายเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็วและเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มลูกค้าจำนวนมากขึ้น

SEO ประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็น On- Page SEO และ Off-Page SEO ซึ่งต้องทำควบคู่กันจึงจะทำให้การจัดอันดับของเว็บไซต์ใน Google และ Yahoo ที่วิเคราะห์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ได้ผลดีขึ้น

1. On- Page SEO คือ การใส่เนื้อหาที่มีคุณภาพลงในเว็บไซต์ เช่น บทความที่มีสาระประโยชน์มีความทันสมัยและมีข้อมูลที่ถูกต้อง

ตัวอย่างเช่น บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับเกมและคีย์บอร์ด อุปกรณ์เกมต่าง ๆ ควรให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ลูกค้าในเรื่องเกี่ยวกับเกม คีย์บอร์ด หูฟัง ตามความเป็นจริง ไม่เน้นที่โปรโมชันหรือการขายสินค้าที่ให้กำไรสูงเพียงอย่างเดียว หากมีบทความอัปเดตบ่อย ๆ จะมีคนเข้ามาอ่านเป็นประจำ ทำให้ Traffic เว็บไซต์เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ได้ผลการจัดอันดับจากการสืบค้นที่ดีขึ้นตามไปด้วย

นอกจากในส่วนเนื้อหาแล้ว ส่วนของรูปและโครงสร้างของเว็บไซต์ก็ต้องมีการปรับปรุงให้ใช้งานง่าย มีตัวอักษรที่อ่านง่าย จัดหมวดหมู่ให้สวยงาม เป็นระเบียบ

ทั้งต้องใช้งานง่ายสำหรับระบบคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะและโทรศัพท์มือถือ เพราะผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน นิยมทำผ่านโทรศัพท์มือถือที่พกติดตัวกันเกือบตลอดเวลา ถ้าปรับปรุงเว็บไซต์ SEO ที่ใช้ได้แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็จะทำให้ไม่ได้รับประสิทธิผลเท่าที่ควร

2. ส่วนของ Off-Page SEO คือการเชื่อมโยงลิงก์จากเว็บไซต์ภายนอกเข้ามาสู่เว็บไซต์ของร้านค้า หรือที่เรียกกันว่าการทำ Back Link ที่นิยมก็คือการไปโพสต์ตอบคำถามในเว็บไซต์อื่น ๆ พร้อมกับแนบ Link เพื่อให้ผู้สนใจหรือกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้สินค้าต่าง ๆ ได้อ่านและเข้ามาถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ร้านค้า

ตัวอย่างเช่น มีผู้ต้องการหาซื้อคีย์บอร์ดเพื่อการเล่นเกมแต่ไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไร ถ้ามีผู้ไปตอบเอาไว้ในสังคมออนไลน์ โดยมีหลักการเหตุผลให้คำแนะนำที่น่าสนใจ พร้อมแนะนำรุ่นและแนบลิงก์เว็บไซต์เอาไว้ด้วย ก็จะทำให้มีโอกาสที่จะได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นจากการตอบคำถามเหล่านี้ ทำให้ส่งผลดีต่อยอดขายที่จะตามมาด้วย

ผู้ทำกิจการค้าขายออนไลน์จึงควรให้ความสำคัญกับการทำ SEO ที่มีคุณภาพ เพื่อให้เพิ่มความนิยมจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มีโอกาสในการแข่งขันกับคู่แข่งธุรกิจรายอื่นได้มากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามการทำ SEO เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเพื่อสร้างข้อมูลที่เพียงพอสำหรับให้ระบบของ Search Engine วิเคราะห์ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเจ้าของกิจการเอง จากการเรียนรู้จากหนังสือหรือคอร์สทำ SEO และการจ้างบริษัทเอกชน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเป็นแพ็คเกจรายเดือนหรือรายปี

ค้าขายออนไลน์ต้องรู้ SEO คือ

ทำไม SEO จึงจำเป็นสำหรับร้านค้าออนไลน์

ปัจจุบันเทคโนโลยีช่วยให้การติดต่อสื่อสารและการซื้อขายออนไลน์ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น การประชาสัมพันธ์ร้านค้าผ่านทางโลกออนไลน์จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ วิธีหนึ่งที่เห็นผลดี คือการทำ SEO จะมีความสำคัญและประโยชน์อย่างไร มาติดตามกันเลย

ทำไม SEO จึงจำเป็นสำหรับร้านค้า

ความหมายและส่วนประกอบของ SEO

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการทำให้หน้าร้านออนไลน์ถูกประชาสัมพันธ์ในอันดับที่ดีของ Search Engine เช่น Google , Yahoo ด้วยการทำ 2 ส่วนต่อไปนี้ ให้มีประสิทธิภาพ

1. ส่วน Off-Page SEO เป็นการสร้างลิงค์เชื่อมโยงเว็บไซต์ภายนอกมาสู่เว็บไซต์ของคุณ เช่น การตอบคำถามในเว็บไซต์พันทิปที่มีคนไปตั้งกระทู้ถาม พร้อมกับแปะลิงค์ให้เข้ามาที่เว็บไซต์ออนไลน์ของคุณ

2. ส่วน On Page SEO หมายถึง การใส่บทความที่มีคุณภาพ รวมถึงรูปภาพประกอบต่าง ๆ ที่น่าสนใจในเว็บไซต์ของคุณ ทั้งนี้จะต้องเลือก keyword ที่กลุ่มเป้าหมายพิมพ์หาข้อมูลใน Google search ด้วย

การทำใน 2 ส่วนที่กล่าวมาเป็นประจำ จะทำให้มีข้อมูลของเว็บไซต์คุณมากพอให้ระบบ algorithm ของ search engine วิเคราะห์และประมวลผลเพื่อแสดงแก่ผู้ใช้นั่นเอง

ประโยชน์ของ SEO

การทำ SEO อย่างต่อเนื่องจะทำให้ร้านค้าออนไลน์ได้ประโยชน์มากมาย ดังนี้

1. อันดับจะดียิ่งขึ้นยิ่งในการสืบค้น โดยหากเป็น Top Five Top Ten ก็จะถูกแสดงผลในหน้าแรกของการสืบค้นแน่นอน

2. เพิ่ม Traffic คนเข้าเว็บไซต์ ทำให้คุณมีโอกาสขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น เปรียบเช่นเดียวกับการมีคนเดินเข้ามาชมสินค้าในร้าน ก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้สินค้าติดไม้ติดมือกลับบ้านไปไม่มากก็น้อย

3. ไม่ต้องเสียค่าโฆษณาเว็บไซต์อย่างการทำ AdWords หรือ Search Engine Marketing (SEM) ที่ต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้พื้นที่โฆษณาด้านบนของ Google Yahoo

4. ทำให้เกิดการพัฒนาเว็บไซต์ที่สวยงาม เป็นระเบียบ น่าใช้ยิ่งขึ้น

5. สำหรับร้านค้าหน้าใหม่หรือแบรนด์สินค้าใหม่แต่ถ้าทำ SEO ให้มีคุณภาพก็ย่อมเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ไม่ยาก

6. ทำให้เว็บไซต์ขายสินค้าของคุณมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อสืบค้นด้วย Yahoo และ Google แล้วแสดงผลเป็นอันดับต้น จะทำให้ลูกค้ามั่นใจในการใช้บริการมากกว่าเว็บไซต์ที่ปรากฏอยู่ในหน้าท้าย

7. โอกาสได้ลูกค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น

8. มีโอกาสขายสินค้าได้ตลอดเวลา เพราะเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพจะถูกนำเสนอบนหน้าต่าง search engine อันดับต้น ๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO ให้ประโยชน์แก่ร้านค้าออนไลน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพิ่มจำนวนผู้เข้าชม ทำให้คุณมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และที่สำคัญคือทำให้ยอดขายบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้สามารถศึกษาการทำ SEO ได้ด้วยตัวเองและปรึกษาทีมเอกชนที่รับพัฒนาเว็บไซต์ที่คิดค่าใช้จ่ายเหมาะสม

ทำไม SEO จึงจำเป็นสำหรับร้านค้าออนไลน์