กระบวนการ SEO ที่ได้ผลจริง

ต่อไปนี้คือรายละเอียดของกระบวนการ SEO ที่สามารถใช้งานได้จริง

1. การวิจัยคำหลัก

-ระบุคำหลักที่เกี่ยวข้อง: ระดมความคิดเกี่ยวกับคำที่ผู้คนค้นหาที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ใช้เครื่องมือเช่น Google เครื่องมือวางแผนคำหลัก หรือ answerthepublic.com เพื่อค้นหาปริมาณการค้นหาและระดับการแข่งขัน

-กำหนดเป้าหมายคำหลักหางยาว: เป็นวลีที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้นและมีการแข่งขันต่ำกว่า แต่อาจมีคุณค่าสูงในการดึงดูดลูกค้าเป้าหมายที่มีคุณสมบัติเหมาะสม

2. การเพิ่มประสิทธิภาพในหน้า

-เพิ่มประสิทธิภาพแท็กชื่อและคำอธิบายเมตา: รวมคำหลักที่เกี่ยวข้องในแท็กชื่อของคุณ (ต่ำกว่า 60 อักขระ) และคำอธิบายเมตา (ต่ำกว่า 160 อักขระ) เพื่อบอกเครื่องมือค้นหาและผู้ใช้ว่าเพจของคุณเกี่ยวกับอะไร

-เนื้อหาคุณภาพสูง: สร้างเนื้อหาที่ให้ข้อมูลและน่าสนใจซึ่งตอบสนองความต้องการของผู้ชมเป้าหมายและรวมคำหลักของคุณไว้อย่างเป็นธรรมชาติ

-โครงสร้างเนื้อหา: ใช้ส่วนหัว (H1, H2 ฯลฯ) เพื่อแยกเนื้อหาและปรับปรุงให้อ่านง่าย

-การเพิ่มประสิทธิภาพรูปภาพ: รวมคำหลักที่เกี่ยวข้องในชื่อไฟล์รูปภาพและคำอธิบายข้อความแสดงแทน

3. เทคนิค SEO

-เป็นมิตรกับมือถือ: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณตอบสนองต่อมือถือเพื่อประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีที่สุดบนอุปกรณ์ทั้งหมด

-ความเร็วเว็บไซต์: เว็บไซต์ที่โหลดเร็วเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ SEO และประสบการณ์ผู้ใช้ ใช้เครื่องมือทดสอบความเร็วเว็บไซต์ เช่น Google PageSpeed ​​Insights เพื่อระบุจุดที่ต้องปรับปรุง

-มาร์กอัปข้อมูลที่มีโครงสร้าง: ใช้มาร์กอัปสคีมาเพื่อให้เครื่องมือค้นหามีข้อมูลที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นเกี่ยวกับเนื้อหาของคุณ ซึ่งอาจนำไปสู่ผลการค้นหาที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

4. การเพิ่มประสิทธิภาพนอกหน้า

-การสร้างลิงก์: รับลิงก์ย้อนกลับคุณภาพสูงจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงซึ่งเกี่ยวข้องกับกลุ่มเฉพาะของคุณ สิ่งนี้บ่งบอกถึงความไว้วางใจและอำนาจในเครื่องมือค้นหา

-การกล่าวถึงแบรนด์: ส่งเสริมการกล่าวถึงแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย สิ่งตีพิมพ์ในอุตสาหกรรม หรือชุมชนออนไลน์ที่เกี่ยวข้อง

5. ติดตามและวิเคราะห์

-ตรวจสอบประสิทธิภาพ SEO ของคุณ: ใช้เครื่องมือเช่น Google Search Console เพื่อติดตามการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ อันดับคำหลัก และลิงก์ย้อนกลับ

-ปรับเปลี่ยนและปรับปรุง: SEO เป็นกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่ วิเคราะห์ข้อมูลของคุณเป็นประจำและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ของคุณโดยพิจารณาจากสิ่งที่ได้ผลและสิ่งที่ไม่ได้ผล


ข้อควรจำ: SEO เป็นกลยุทธ์ระยะยาว ต้องใช้เวลาและความพยายามอย่างสม่ำเสมอจึงจะเห็นผล อย่างไรก็ตาม ด้วยการดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้ คุณสามารถปรับปรุงการจัดอันดับการค้นหาทั่วไปของเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมาก และดึงดูดปริมาณการเข้าชมที่มีคุณสมบัติเหมาะสมมากขึ้น

WordPress เหมาะแก่การทำ SEO จริงหรือไม่

WordPress ได้รับการพิจารณาอย่างกว้างขวางว่าเป็นแพลตฟอร์มที่เป็นมิตรกับ SEO เนื่องจากมีฟีเจอร์และฟังก์ชันหลักหลายประการ

เป็นแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย WordPress นำเสนออินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้ซึ่งทำให้ง่ายต่อการจัดการและเผยแพร่เนื้อหา แม้กระทั่งสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีประสบการณ์การเขียนโค้ดมาก่อน ความสะดวกในการใช้งานนี้ทำให้ผู้ใช้สามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ SEO

คุณสมบัติ SEO ในตัว WordPress มาพร้อมกับคุณสมบัติในตัวหลายประการที่สามารถช่วยในการทำ SEO เช่น

1.ล้าง URL WordPress ช่วยให้คุณสร้างลิงก์ถาวรที่เป็นมิตรกับ SEO ซึ่งเป็น URL สำหรับแต่ละหน้าและโพสต์ของคุณ ลิงก์ถาวรเหล่านี้สามารถปรับแต่งให้รวมคำสำคัญที่เกี่ยวข้องได้ ทำให้เครื่องมือค้นหาเข้าใจเนื้อหาในเว็บไซต์ของคุณได้ง่ายขึ้น

2.คำอธิบาย Meta WordPress ช่วยให้คุณสามารถเพิ่มคำอธิบาย meta ลงในเพจและโพสต์ของคุณได้อย่างง่ายดาย คำอธิบายเมตาเป็นการสรุปสั้นๆ ที่ปรากฏในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) และสามารถใช้เพื่อดึงดูดผู้ใช้ให้คลิกบนเว็บไซต์ของคุณได้

3.แท็กชื่อ WordPress อนุญาตให้คุณตั้งค่าแท็กชื่อสำหรับเพจและโพสต์ของคุณ แท็กชื่อจะแสดงใน SERP และควรมีความชัดเจนและกระชับ สะท้อนถึงเนื้อหาของหน้าได้อย่างถูกต้อง

4.คลังปลั๊กอินที่กว้างขวาง WordPress มีคลังปลั๊กอินมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อช่วยในเรื่อง SEO ปลั๊กอินเหล่านี้สามารถช่วยคุณในงานต่างๆ เช่น

-การวิจัยคำหลัก

-การเพิ่มประสิทธิภาพในหน้า

-การตรวจสอบ SEO ทางเทคนิค

-การสร้างลิงก์ย้อนกลับ

5.ความเหมาะกับมือถือ เครื่องมือค้นหาจัดลำดับความสำคัญของเว็บไซต์ที่เหมาะกับมือถือในการจัดอันดับ โดยทั่วไปแล้ว ธีม WordPress จะตอบสนองได้ ซึ่งหมายความว่าธีมจะปรับให้เข้ากับขนาดหน้าจอที่แตกต่างกัน ทำให้มั่นใจได้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะดูดีและทำงานได้ดีบนอุปกรณ์ทุกชนิด รวมถึงโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต

6.ความยืดหยุ่น WordPress เป็นแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นสูงซึ่งสามารถปรับแต่งให้ตรงตามความต้องการเฉพาะของเว็บไซต์ของคุณได้ สิ่งนี้ช่วยให้คุณสร้างเว็บไซต์ที่ไม่เพียงแต่เป็นมิตรกับ SEO เท่านั้น แต่ยังดึงดูดสายตาและใช้งานง่ายอีกด้วย

สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่าการใช้ WordPress เพียงอย่างเดียวไม่ได้รับประกันว่าคุณจะได้รับการจัดอันดับเครื่องมือค้นหาอันดับต้นๆ อย่างไรก็ตาม คุณสมบัติของแพลตฟอร์มและระบบนิเวศที่กว้างขวางของปลั๊กอินและธีมสามารถทำให้ SEO ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การทำ SEO มีกี่แบบ

วิธีทั่วไปในการจัดหมวดหมู่ SEO แบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก

1. โดยมุ่งเน้นหลัก

SEO บนเพจ: SEO ในหน้าหมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพองค์ประกอบต่างๆ บนเว็บไซต์เพื่อปรับปรุงการมองเห็นและความเกี่ยวข้องกับเครื่องมือค้นหา ซึ่งรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา เมตาแท็ก ส่วนหัว รูปภาพ โครงสร้าง URL และการเชื่อมโยงภายใน

SEO นอกเพจ: SEO นอกเพจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายนอกเว็บไซต์ แต่ยังคงส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา ซึ่งรวมถึงการสร้างลิงก์ย้อนกลับจากแหล่งที่มีชื่อเสียง การตลาดบนโซเชียลมีเดีย การเผยแพร่ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ และความพยายามส่งเสริมการขายภายนอกอื่นๆ

SEO ทางเทคนิค: SEO ทางเทคนิคมุ่งเน้นไปที่ด้านเทคนิคของเว็บไซต์เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือค้นหาสามารถรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วของเว็บไซต์ ความเหมาะกับมือถือ สถาปัตยกรรมเว็บไซต์ และการจัดการปัญหาต่างๆ เช่น ลิงก์เสีย เนื้อหาที่ซ้ำกัน และการเพิ่มประสิทธิภาพแผนผังเว็บไซต์ XML

SEO ทั้งสามประเภทนี้ทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์ในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) และปรับปรุงสถานะออนไลน์โดยรวม เป็นสิ่งสำคัญสำหรับกลยุทธ์ SEO ที่ครอบคลุมเพื่อจัดการกับประเด็นเหล่านี้ทั้งหมด

2. ตามช่องเฉพาะ

SEO ท้องถิ่น: การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ของคุณ

SEO อีคอมเมิร์ซ: ปรับแต่งแนวทางของคุณสำหรับร้านค้าออนไลน์และหน้าผลิตภัณฑ์

SEO บนมือถือ: มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ผู้ใช้และการมองเห็นบนอุปกรณ์มือถือ

SEO ระหว่างประเทศ: การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับภาษาต่างๆ และเครื่องมือค้นหาระดับภูมิภาค

Content SEO: การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ดึงดูดผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา

วิดีโอ SEO: การเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาวิดีโอสำหรับการค้นหาและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้

News SEO: การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับเนื้อหาที่ต้องคำนึงถึงเวลาและผู้รวบรวมข่าวสาร

การเพิ่มประสิทธิภาพ App Store (ASO): การเพิ่มประสิทธิภาพแอปมือถือเพื่อให้มองเห็นได้ใน App Store

ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังแบ่งหมวดหมู่เหล่านี้ออกเป็นประเภทที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น “SEO รูปภาพ” หรือ “SEO ค้นหาด้วยเสียง” ท้ายที่สุดแล้ว ประเภทที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณจะขึ้นอยู่กับเป้าหมายเฉพาะและกลุ่มเป้าหมายของคุณ

Software มีส่วนช่วยอะไรบ้างในการทำ SEO (Search Engine Optimization)

มีเครื่องมือและแอพพลิเคชั่นซอฟต์แวร์มากมายที่ให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ของ Search Engine Optimization (SEO) เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้นักการตลาด เว็บมาสเตอร์ และผู้เชี่ยวชาญด้าน SEO วิเคราะห์ เพิ่มประสิทธิภาพ และติดตามความพยายามของพวกเขา ต่อไปนี้เป็นหมวดหมู่ยอดนิยมของซอฟต์แวร์ SEO พร้อมด้วยตัวอย่าง

1. เครื่องมือวางแผนคำหลัก

Google Keyword Planner : เสนอแนวคิดคำหลักและประมาณปริมาณการค้นหา

Ahrefs : ให้คำแนะนำคำหลัก ปริมาณการค้นหา และการวิเคราะห์การแข่งขัน

Semrush : เสนอการวิจัยคำหลักและเครื่องมือวิเคราะห์การแข่งขัน

2. SEO บนเพจ

Yoast SEO : ปลั๊กอิน WordPress ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพองค์ประกอบบนเพจ เช่น ชื่อ คำอธิบายเมตา และเนื้อหา

SEMrush On-Page SEO Checker : วิเคราะห์เพจของคุณแบบเรียลไทม์และให้คำแนะนำสำหรับการปรับปรุง

3. การวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับ

Ahrefs : ช่วยให้คุณวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับ ค้นพบโอกาสใหม่ ๆ และตรวจสอบโปรไฟล์ลิงก์ของคู่แข่ง

Majestic SEO : มุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์ลิงก์ย้อนกลับและจัดเตรียมตัวชี้วัด เช่น Trust Flow และ Citation Flow

Backlink Analytics : นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับโปรไฟล์ลิงก์ย้อนกลับของคุณและกลยุทธ์ลิงก์ย้อนกลับของคู่แข่ง

4. เทคนิค SEO

Google Search Console : ช่วยคุณตรวจสอบและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการปรากฏของเว็บไซต์ของคุณในผลการค้นหาของ Google

Screaming Frog SEO Spider : รวบรวมข้อมูลเว็บไซต์เพื่อวิเคราะห์ SEO บนหน้าและระบุปัญหาทางเทคนิค

DeepCrawl : ให้การวิเคราะห์เชิงลึกเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมเว็บไซต์ การเชื่อมโยงภายใน และปัญหาด้านเทคนิค SEO

5. การติดตามอันดับ

SEMrush : ช่วยให้คุณติดตามการจัดอันดับคำหลักของเว็บไซต์ของคุณเมื่อเวลาผ่านไป

Ahrefs Rank Tracker : ติดตามการจัดอันดับคำหลักและให้ข้อมูลประวัติ

SERPWatcher : ส่วนหนึ่งของชุด Mangools นำเสนออินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายสำหรับการติดตามอันดับ

6. การเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา

Surfer SEO : วิเคราะห์เพจที่มีอันดับสูงสุดเพื่อให้คำแนะนำในการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา

Clearscope : ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาโดยการแนะนำคำหลักที่เกี่ยวข้องและการจัดระดับเนื้อหา

7. SEO ท้องถิ่น

Moz Local : ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ จัดการสถานะออนไลน์ของตนผ่านแพลตฟอร์มการค้นหาในท้องถิ่น

BrightLocal : นำเสนอเครื่องมือสำหรับการตรวจสอบ SEO ในท้องถิ่น การสร้างการอ้างอิง และการจัดการชื่อเสียง

8. การวิเคราะห์

Google Analytics : ให้ข้อมูลเชิงลึกโดยละเอียดเกี่ยวกับการเข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมผู้ใช้ และ Conversion

Adobe Analytics : โซลูชันการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมสำหรับการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลเว็บไซต์

9. การติดตามโซเชียลมีเดีย

Hootsuite : จัดการบัญชีโซเชียลมีเดียและติดตามการกล่าวถึงในโซเชียล

Buffer : กำหนดเวลาและติดตามโพสต์บนโซเชียลมีเดีย รวมถึงการวิเคราะห์

10. การเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วไซต์

PageSpeed ​​Insights : วิเคราะห์ประสิทธิภาพของหน้าเว็บและให้คำแนะนำในการปรับปรุง

GTmetrix : ทดสอบและติดตามความเร็วของเว็บไซต์ของคุณ โดยเสนอคำแนะนำสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพ

รวมเทคนิคการเขียนบทความแบบ SEO เพิ่มยอดผู้เข้าชม

การทำบทความ SEO ถือเป็นการโปรโมตหรือทำการตลาดออนไลน์ที่ใช้งบน้อยที่สุด ฉะนั้นหากใครที่กำลังจะเริ่มต้นทำเว็บไซต์หรือสินค้าชนิดใดก็ตาม ต้องการให้เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะ Google ถือเป็นช่องทางที่เต็มไปด้วยผู้อ่านมากมายจากทั่วทุกมุมโลก ฉะนั้นลองศึกษาเรียนรู้การทำ SEO เพื่อช่วยให้คุณประหยัดงบลงไปอีก ไม่จำเป็นต้องจ้างนักเขียนบทความเลยล่ะ อยากรู้ไหมว่าต้องทำอย่างไรลองไปดูพร้อม ๆ กันเลย

1.เลือกใช้ Keyword ควรใช้ที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าภายในเว็บและเขียนบทความออกมาอย่างมีคุณภาพ ถือเป็นการทำให้เว็บไซต์ติดมีการค้นหาข้อมูลเป็นอันดับต้น ๆ อย่างยั่งยืนและไม่โดน Google สแปม หากตรวจสอบว่าเนื้อหาเน้นไปที่การใส่ Keyword มากจนเกินไป โดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเว็บเลย 

2.ตั้งชื่อหัวข้อบทความให้น่าสนใจ แม้ว่าการเลือกเขียนบทความโดยใช้ SEO เข้ามาช่วย แต่นั้นยังไม่เพียงพอหากหัวข้อขาดความน่าสนใจ ฉะนั้นก่อนที่จะนำเสนอจะต้องคำนึงในส่วนนี้ด้วย

3.วางโครงสร้างบทความ เป็นสิ่งที่ทำให้บทความมีความน่าสนใจ โดยเริ่มต้นจะต้องจับประเด็นในสิ่งที่ต้องการนำเสนอและเรียงลำดับความสำคัญในแต่ละหัวข้อว่าจะเอาบทไหนขึ้นก่อน ซึ่งจะทำให้อ่านง่ายมากยิ่งขึ้น 

4.เริ่มลงมือเขียนบทความ ในช่วงเริ่มต้นเขียนบทความอาจจะเขียนไปตามอารมณ์ความรู้สึกไปก่อน เพราะจะทำให้คนอ่านเข้าถึง แต่ก็อย่าลืมว่าควรมีพัฒนาการด้วย เพื่อให้เป็นบทความคุณภาพ ซึ่งการเขียนจะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ด้วย ดังนี้ 

  • จำนวนคำต้องมีตั้งแต่ 500 คำขึ้นไป 
  • เนื้อหาจะต้องแทรก Keyword เข้าไปในเนื้อหาตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความ เช่น ย่อหน้าแรก, หัวข้อหลัก หัวข้อรอง แต่ที่เรากล่าวไปไม่จำเป็นต้องใส่ทุกหัวข้อก็ได้ หากมากเกินไปจะถูกจับด้วย Bot ของ Google จนในที่สุดถูกสแปม Keyword คือการปิดกั้นการมองเห็น

5.เลือกภาพเพื่อใส่ประกอบในเนื้อหา สิ่งนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะมีการสำรวจจาก skyword พบว่า บทความที่มีภาพตรงตามเนื้อหา จะมีคนเข้าดูมากถึง 94% ฉะนั้นควรให้ความสำคัญและควรมีคำบรรยายภาพที่มี Keyword ด้วยหรือที่เรียกว่าข้อความ Alt Text

เหตุผลที่บทความแบบ SEO ถึงติดอันดับ

หากอยากให้เว็บติดอันดับการค้นหาอันดับต้น ๆ จะต้องเลือกนำเสนอบทความที่ใช้รูปแบบ SEO โดยจะต้องมี Keyword ที่ได้รับการค้นหาบ่อยที่สุดมากระตุ้นให้เว็บของคุณได้รับความสนใจ และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมบทความรูปแบบ SEO จึงเป็นตัวช่วยสำคัญบนโลกออนไลน์ ฉะนั้นหากคุณอยากให้แบรนด์ติดตลาดหรือประสบความสำเร็จในเรื่องการเป็นที่รู้จักก็จะศึกษาเพิ่มเติมอีกครั้ง เพราะยังมีอีกหลากหลายปัจจัย ซึ่งคุณจะต้อศึกษาเพิ่มเติม 

ธุรกิจทำ SEO ผ่านช่องทางสื่อประเภทใดบ้าง

ธุรกิจทุกวันนี้อาศัยการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO กันมากขึ้นเพื่อให้แบรนด์สินค้าหรือบริการเป็นที่รู้จักกว้างขวาง โซเชียลมีเดียเป็นส่วนสำคัญที่ธุรกิจใช้เป็นช่องทางโปรโมทแบรนด์ให้เข้าถึงลูกค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย มาดูกันว่าสามารถทำ SEO ผ่านช่องทางสื่อประเภทใดบ้าง

1.การทำ SEO ลงบนเว็บไซต์ เป็นรูปแบบที่พูดถึงกันมากที่สุด เพราะเป็นรูปแบบการทำตลาดที่มีระยะเวลายาวนานกว่า มีความยั่งยืนมากกว่าสื่อเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ และอื่นๆ การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ หรือติดอันดับหน้าแรกบน Google สร้างคุณค่าให้เห็นว่าเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือและการโฆษณามีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่เลือกทำ SEO ลงบนเว็บไซต์เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปกติแล้วการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีจะใช้เวลาค่อนข้างนานระหว่าง 4-6 เดือนหรือบางรายอาจใช้เวลานานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความชำนาญในการทำ SEO ทั้งการเลือกคีย์เวิร์ดที่เข้าถึงลูกค้า การเขียนบทความลงเว็บไซต์ที่น่าอ่านและดึงคนติดตามจำนวนมาก รวมไปถึงกลยุทธ์ SEO อื่นๆ เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีกว่าคู่แข่ง

2.การทำ SEO บน Facebook Fanpage การทำ SEO ไม่ได้ทำบนเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับโซเชียลมีเดียช่วยให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้นได้เช่นกัน หมายความว่าการทำเว็บไซต์พร้อมกับลิงก์ไปบนเฟซบุ๊กแฟนเพจทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่ามีส่วนร่วมมากขึ้น เพราะได้แสดงความคิดเห็นและการสื่อสารหลายช่องทาง ทั้งการแชท เสียง รูปภาพ และวิดีโอ ทำให้ Facebook Fanpage ได้รับความนิยมมาก แพลตฟอร์มเฟซบุ๊กสามารถกระตุ้นยอด Like, Share หรือ Comment ทำให้โพสต์ต่าง ๆ ถูกส่งต่อออกไปให้คนได้เห็นในวงกว้าง นอกจากนี้ทั้งบทความ รูปภาพ และวิดีโอที่โพสต์ลงบนเฟซบุ๊กสามารถลิงก์กับเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังเป็นการเสริมความน่าเชื่อถือของแบรนด์ในคราวเดียวกันด้วย 

3.การทำ SEO บน Youtube การโฆษณารูปแบบวิดีโอมีทั้งภาพและเสียงทำให้ผู้ชมรับรู้ได้เร็วกว่าการอ่าน โดยปกติอ่านบทความยาวหนึ่งหน้ากระดาษใช้เวลาหลายนาที ดูภาพหรือฟังเสียงก็ยังใช้เวลานานกว่า แต่ถ้าดูวิดีโอบนยูทูบเพียงไม่กี่วินาทีก็เข้าใจ เหมาะกับการทำวิดีโอเสนอขายสินค้าหรือบริการ วิดีโอบนยูทูบสามารถโปรโมทแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายอย่างรวดเร็วหลังจากมีการแชร์วิดีโอออกไปทำให้มีผู้คนรับรู้และเข้าชมจำนวนมาก ถือเป็นช่องทางการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ หากต้องการข้อมูลแบบละเอียดค่อยเข้าเว็บไซต์ไปอย่างเนื้อหาฉบับเต็มได้ในภายหลัง 

กลยุทธ์การทำ SEO รองรับการทำตลาดออนไลน์หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบทความ รูปภาพ หรือวิดีโอที่จัดทำขึ้นอย่างพิถีพิถัน จึงควรทำโฆษณาเชื่อมต่อทุกแพลตฟอร์มเข้าด้วยกันจะยิ่งเป็นประโยชน์ ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มคนได้ง่ายและตรงกับความสนใจของลูกค้าเป้าหมาย ยิ่งมีคนสนใจเข้ามาดูสินค้าหรือบริการมากขึ้นก็ยิ่งมีโอกาสเพิ่มยอดขายมากขึ้นในอนาคต

สร้างช่องยูทูปให้ประสบความสำเร็จด้วย SEO

คุณทราบหรือไม่ว่า YouTube ก็จำเป็นต้องใช้หลักการ SEO หรือ search engine optimization เช่นเดียวกับการทำเว็บไซต์และเพจบน facebook เพื่อให้มียอดผู้ติดตามเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อันสัมพันธ์กับรายได้จากการโฆษณาและเป็นพรีเซ็นเตอร์สินค้าต่าง ๆ

เรามาดูกันว่าถ้าจะทำ SEO สำหรับช่อง YouTube จะมีเทคนิคอย่างไรบ้าง

ตั้งชื่อไฟล์รูปตรงกับชื่อหัวข้อนำเสนอ
ไฟล์รูปกับหัวข้อของคลิปวิดีโอควรเป็นชื่อเดียวกัน และมี keyword อยู่ในนั้นด้วย เพื่อให้โอกาสในการถูกสืบค้นเจอมากขึ้น และมั่นใจว่าสาระจะตรงใจกลุ่มเป้าหมายที่กำลังค้นหาข้อมูลเรื่องนั้นพอดี ทำให้มีโอกาสได้ค่าโฆษณาจาก Youtube มากขึ้นตามไปด้วย ตามระยะเวลาการชม

1.ใส่รูปหน้าปกวิดีโอที่ดึงดูด
เราขอเปรียบเทียบการใส่หน้าปกวิดีโอ เหมือนกับการแต่งหน้า ทำผม ใส่เสื้อผ้า ที่สวยงาม จะช่วยสร้างความประทับใจแรกให้คนอยากรู้จักคุณ เช่นเดียวกับที่ผู้ใช้งาน Youtube จะตัดสินใจคลิกจากหน้าปกที่ดึงดูดที่สุด เมื่อถูกค้นหาเจอผ่าน keyword เดียวกัน โดยกำหนดขนาดภาพ ที่ 1280 x 720 และไฟล์ไม่ใหญ่เกินไปกว่า 2 MB

2.ทำลิงก์เชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ของคุณ
เชื่อว่าประมาณครึ่งหนึ่งของคนที่ทำช่อง YouTube มีเว็บไซต์เพื่อรองรับกัน โดย youtube จะเป็นการใช้คลิปนำเสนอเรื่องที่น่าสนใจ ส่วนการทำเว็บไซต์มักเป็นส่วนของเนื้อหาที่ต้องใช้เวลาอ่านมาก การทำลิงก์เพื่อเชื่อมโยงระหว่างสองแพลตฟอร์มนี้จึงสำคัญมากและเป็นการเพิ่ม Traffic ให้ทั้งสองช่องทางได้ประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้น

3.ใช้สถิติแนวโน้มจากหลังบ้าน Youtube มาพัฒนา
เจ้าของช่อง YouTube สามารถดูสถิติย้อนหลังได้ว่าคลิปใดเป็นที่นิยม หรือผู้คนพบคุณได้จากการค้นหา keyword คำใด และจะมาจากส่วนใดของโลก ทั้งยังบอกได้ถึงช่วงเวลาที่ผู้คนนิยมเข้ามาดูคลิป จะทำให้คุณปรับเปลี่ยนแนวทางการทำเนื้อหาได้ดียิ่งขึ้นต่อไป

4.กระตุ้นให้คนกดกระดิ่ง subscribe
คุณเคยสงสัยหรือไม่ ว่าทำไมเจ้าของช่องจึงแนะนำให้คน subscribe นั่นก็เพราะทุกครั้งที่มีการอัปเดทคลิปใหม่ ๆ ระบบของ youtube จะส่งข้อความแจ้งไปยังผู้ติดตามให้ทราบ เพื่อคลิกเข้ามาชมได้รวดเร็ว เป็นการสร้างความจดจำแบรนด์ และทำให้เพิ่มยอดวิวได้มากขึ้น

5.ใส่คำอธิบายใน VDO description
การอธิบายว่าคลิปของคุณมีสาระเกี่ยวกับอะไร โดยใส่ keyword ในนั้นด้วย จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ถูกสืบค้นเจอมากขึ้น หากคุณนึกไม่ออก ก็ให้คุณคิดถึงหัวข้อย่อยต่าง ๆ ในคลิปแล้วนำมาเขียนก็ได้

การทำ SEO ให้ช่องยูทูปประสบความสำเร็จนั้น ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว เจ้าของช่องที่ต้องการขยายกลุ่มผู้ชมให้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต้องหมั่นศึกษากลยุทธ์และพัฒนาสิ่งที่นำเสนอ ให้มีสาระและความบันเทิงดึงดูดใจผู้ชมพร้อมกัน แม้จะเหนื่อยบ้าง แต่ผลที่ได้ย่อมคุ้มค่าแน่นอน

เพราะอะไร SEO จึงเป็นเครื่องมือการตลาดที่สำคัญในยุคนี้

หากพูดถึงเครื่องมือการตลาดที่มาแรงเป็นอย่างยิ่งในยุคที่การตลาดออนไลน์กำลังแรงอย่างเช่นทุกวันนี้ เชื่อว่าจะต้องมีชื่อของ SEO หรือ การทำ Search Engine Optimization หนึ่งในเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่หลายธุรกิจหันมาให้ความสำคัญ นั่นเพราะ SEO มีจุดเด่นที่ช่วยเสริมการทำการตลาดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นและเหมาะอย่างยิ่งสำหรับยุคปัจจุบัน

เพราะอะไร SEO จึงสำคัญในยุคการตลาดออนไลน์มาแรง

  • การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค
    หากเป็นเมื่อก่อนนี้การค้นหาข้อมูลแต่ละครั้งอาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หลังจากมีอินเทอร์เน็ตเข้ามารวมถึงการพัฒนาของเทคโนโลยี ทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ เป็นเรื่องง่ายขึ้น ไม่ว่าจะอยากรู้อะไรหรืออยากค้นหาเรื่องไหนก็ง่ายแค่ปลายนิ้ว การที่ผู้ประกอบการทำ SEO จึงสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคนี้เป็นอย่างมาก เพราะเมื่อผู้บริโภคกดค้นหาข้อมูลที่ต้องการผ่าน Search Engine ก็จะมีโอกาสพบเว็บไซต์ของผู้ประกอบการได้ง่ายขึ้น
  • สอดคล้องกับเทรนด์การตลาดออนไลน์ที่กำลังมาแรง
    ย้อนกลับไปในยุคที่ยังไม่มีเครื่องมือการตลาดออนไลน์ แน่นอนว่าการทำการตลาดส่วนใหญ่จะทำในรูปแบบออฟไลน์ เช่น การซื้อโฆษณาโทรทัศน์ การซื้อโฆษณาในหนังสือพิมพ์ การประชาสัมพันธ์ ณ จุดขาย ฯลฯ แต่ในยุคการตลาดออนไลน์มาแรง การที่ผู้ประกอบการหันมาทำ SEO นอกจากสอดคล้องพฤติกรรมผู้บริโภคแล้วยังสะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจมีการปรับตัวให้เข้ากับเทรนด์การตลาดและพัฒนาตนเองให้เท่าเทียมคู่แข่งตลอดเวลา
  • ให้ผลลัพธ์ระยะยาว
    นักการตลาดออนไลน์ทราบดีอยู่แล้วว่าการทำ SEO ต้องอาศัยระยะเวลาเพื่อก้าวสู่อันดับที่ดีขึ้นใน Search Engine และหากทำได้สำเร็จ เพียงหมั่นรักษามาตรฐานแก่เว็บไซต์ก็จะสามารถรักษาอันดับได้ในระยะยาว ทำให้เว็บไซต์ผู้ประกอบการจะถูกทำให้เห็นเป็นอันดับต้น ๆ และยังอาจกลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ของผู้ใช้งานเสมอ
  • ตัวช่วยเพิ่มยอดขายและเจาะกลุ่มเป้าหมายได้จริง
    การที่ผู้บริโภคกดค้นหาสินค้าและบริการ ย่อมแสดงให้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายมีความสนใจซื้อสินค้าและบริการนั้น ๆ การทำ SEO จึงมีส่วนช่วยสร้างการจดจำ เพิ่มความน่าเชื่อถือ และยังเพิ่มโอกาสตัดสินใจซื้อ นอกจากนี้ยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้จริง อีกทั้งยังได้พบกลุ่มเป้าหมายมีคุณภาพ เพราะกลุ่มเป้าหมายนั้น ๆ ต้องการค้นหาสินค้าหรือบริการของผู้ประกอบการอยู่แล้ว ที่สำคัญการตลาดผ่าน SEO ถือว่าใช้งบประมาณไม่มาก เพราะเน้นจัดระเบียบเว็บไซต์ให้เข้าเกณฑ์การให้คะแนนของ Search Engine เป็นสำคัญ

ทั้งหมดนี้คือเหตุผลทำให้ SEO คือเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่เหมาะอย่างยิ่งในยุคนี้ และถึงแม้ว่า SEO จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจมีโอกาสเจอกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้นและมีโอกาสเพิ่มยอดขาย แต่ถึงอย่างนั้นผลประกอบการไม่ได้เกิดขึ้นจากการทำ SEO เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะผู้ประกอบการจำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการควบคู่กับการทำการตลาดด้วยวิธีอื่น ๆ เพื่อเสริมให้ธุรกิจแข็งแรงมากยิ่งขึ้น

เคล็ดลับการเขียนบทความ SEO ให้ติดหน้า Google โดยไม่เสียเงิน

SEO (Search Engine Optimization) คือการเขียนบทความของเว็บไซต์หรือเพจให้ติดอันดับการค้นหาเป็นอันดับแรก ๆ บนหน้า Google โดยอาศัยคีย์เวิร์ด (Keyword) ที่ผู้คนค้นหา แต่บทความจะเป็นที่ต้องการต่อผู้คนหาได้นั้นก็ต้องอาศัยหลักการเขียนที่ถูกต้อง ฟังแล้วอาจจะดูยาก เพื่อการนี้เราจึงอยากมาแบ่งปันเคล็ดลับการเขียนบทความ SEO ด้วยตัวเอง ให้บทความของเราติดหน้า Google โดยไม่ต้องเสียเงินในแบบเข้าใจง่ายที่ใคร ๆ ก็สามารถทำตามได้

มีเป้าหมายในการเขียน
อย่างแรกที่เราต้องมีในการเขียนบทความ SEO เลยคือเป้าหมายในการเขียนว่า บทความเราเขียนไปเพื่ออะไรและเขียนเพื่อใคร ซึ่งใครในทีนี้ก็คือ กลุ่มคนที่จะกดเข้ามาดูเว็บไซต์ของเรานั่นเอง โดยเราสามารถศึกษากลุ่มเป้าหมายของเราได้จากช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ หรือตามเพจหรือเว็บไซต์ของคู่แข่งเพื่อเป็นแนวทางในการเขียน เมื่อได้ข้อมูลแล้ว เราสามารถวิเคราะห์ต่อไปว่า เราจะเขียนบทความเพื่อตอบสนองหรือแก้ปัญหาของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างไร เพราะถ้าบทความของเราตรงความต้องการของเป้าหมาย โอกาสที่เขาจะกดเข้ามาอ่านก็มีสูงเช่นกัน

หาคีย์เวิร์ดที่เป็นที่ต้องการ
ต่อไปก็คือคีย์เวิร์ดที่โดนใจหรือตรงความต้องการของผู้ค้นหากลุ่มใหญ่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการค้นหาของผู้คนเหล่านั้น ซึ่งในการทำ SEO นั้นคือการเชื่อมโยงคีย์เวิร์ดของผู้ค้นหากับบทความของเราออกมาเป็นผลลัพธ์บนหน้า Google โดยเราสามารถศึกษาคีย์เวิร์ดได้ง่าย ๆ จาก Google Suggest แค่เราพิมพ์คำง่าย ๆ ก็จะแสดงผลลัพธ์คำที่เกี่ยวข้องกับคำที่เราค้นหาที่มีคนค้นหามากที่สุดในช่องที่เด้งขึ้นมาหลังพิมพ์ อีกวิธีหนึ่งคือการใช้ Search intent ด้วยการค้นหาคำที่ต้องการในช่อง เสร็จแล้วก็จะขึ้นเว็บไซต์ที่ติดอันดับต่าง ๆ เราก็ควรจะเขียนไปในแนวทางเดียวกับที่ผลลัพธ์การค้นหาแสดงออกมา เพราะนั่นล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการ แต่คีย์เวิร์ดต้องไม่กว้างและแคบจนเกินไป

บทความมีเนื้อหายาวและครอบคลุม
เมื่อได้คีย์เวิร์ดและกลุ่มเป้าหมายแล้วก็มาเริ่มเขียนกันเลย แต่จำนวนคำของบทความนั้นต้องไปสั้นจนเกินไป เน้นเนื้อไม่เน้นน้ำ ซึ่งบทความที่มีความยาวของเนื้อหาพอสมควรนั้นจะครอบคลุมทุกประเด็นที่ผู้ค้นหาต้องการได้ดีกว่าอยู่แล้ว แถมยังดีต่อการตรวจสอบข้อมูลการเชื่อมโยงคีย์เวิร์ดและบทความของ Google ในการแสดงผลลัพธ์ ยิ่งถ้าบทความนั้นตอบโจทย์ต่อปัญหาและความต้องการของผู้ค้นหา ณ ขณะนั้น ก็จะเกิดการแชร์และการคลิกเข้าไปอ่านมากขึ้น ประโยคของบทความต้องตรงประเด็นและชวนให้กดเข้าไปอ่าน ถ้ามีสื่อต่าง ๆ อย่างภาพ วิดีโอ เพลงหรือมินิเกมต่าง ๆ ก็จะช่วยดึงดูดความสนใจได้มากยิ่งขึ้น

หวังว่าผู้อ่านจะเห็นแล้วว่า หลักการเขียนบทความ SEO ที่เรามานำเสนอนั้นสามารถทำตามได้ไม่ยากเลย ถ้าใครอยากให้เว็บไซต์หรือเพจตัวเองติดอันดับการค้นหาไว ๆ ก็อย่าลืมนำเคล็ดลับของเราไปปรับใช้ในการเขียนบทความครั้งต่อไป

สร้างรายได้จากโพสต์ด้วย SEO On-Page

Digital Product คือ สินค้าดิจิทัล ที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่สามารถทำรายได้ หรือใช้เป็นเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งบทความนี้ได้รวบรวมขั้นตอนและเครื่องมือที่ช่วยให้มือใหม่ที่สนใจสร้างรายได้จาก Digital Product บน Social media ได้นำไปปรับใช้ในการทำ Content ให้น่าสนใจ เป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มผู้ติดตามและนำไปสู่การสร้างรายได้บนโลกออนไลน์

3 ขั้นตอนในการสร้างโพสต์ที่มีประสิทธิภาพ

1.หาหัวข้อคอนเทนต์ที่สามารถดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย (Winner Content)
ก่อนจะไปถึงขั้นตอนที่ช่วยเลือกหัวข้อคอนเทนต์ที่ช่วยดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย นักเขียนบล็อกมือใหม่ควรเรียนรู้พื้นฐานในการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO ก่อน เพราะ SEO คือ กระบวนการสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ หรือบล็อกติดอันดับบน Search Engine (Google, Yahoo, Bing หรือ WiKisearch) โดยสิ่งสำคัญที่สุดของการทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จ คือ ควรมี Winner Keyword หรือ คำที่กลุ่มเป้าหมายใช้ในการค้นหาข้อมูล โดย Keyword ที่ดีควรมีปริมาณการค้นหาเยอะ มีคู่แข่งน้อย และมีความเฉพาะเจาะจงพอสมควร เช่น “ปากกาเคมีสำหรับเขียนในน้ำ” เป็นต้น เมื่อได้ Winner Keyword ที่เหมาะสมให้นำ Winner Keyword มาตั้งชื่อหัวข้อคอนเทนต์ โดยคำนึงถึง 3 เรื่องหลัก ๆ คือ กำลังเป็นกระแส, มีประโยชน์ และมีความน่าสนใจ

2.เนื้อหาคอนเทนต์ต้องเป็นประโยชน์กับผู้ใช้งาน
นักเขียนคอนเทนต์มือใหม่หลายคนให้ความสำคัญกับการศึกษาเรื่อง SEO มากกว่าการสร้างเนื้อหาคอนเทนต์ที่คำนึงถึงประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ทำให้เนื้อหาคอนเทนต์ที่ได้ไม่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใช้งาน เมื่อเนื้อหาคอนเทนต์ไม่เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้งานก็จะส่งผลต่อการติดอันดับบน Search Engine ด้วย โดยวิธีที่ช่วยให้การสร้างเนื้อหาคอนเทนต์มีความน่าสนใจ ผู้ทำคอนเทนต์ควรศึกษาหาข้อมูลผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ เช่น Pantip.com, Facebook Group หรือ Google Trend เป็นต้น เพื่อที่ผู้ทำคอนเทนต์จะได้ทราบว่ากลุ่มเป้าหมายกำลังมีปัญหาเรื่องใดและจะหาวิธีแก้ไขได้อย่างไร

3.ทำภาพประกอบบทความ (Infographic)
Infographic เป็นองค์ประกอบที่ Search Engine เริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น เพราะช่วยให้กลุ่มผู้ใช้งานได้รับประโยชน์จากการสรุปเนื้อหาหลักและสามารถเข้าใจเนื้อหาที่ผู้ทำคอนเทนต์ต้องการจะสื่อได้ง่ายขึ้น โดย Infographic ที่ดีควรมีเนื้อหาที่ครบถ้วน มีการออกแบบที่สวยงาม สีสันสดใส มีขนาดภาพที่เหมาะสม ง่ายต่อการอ่าน แต่ไม่ทำให้หน้าเว็บโหลดช้า และตั้งชื่อ/คำอธิบายภาพด้วย Winner Keyword ซึ่งการมีภาพอินโฟกราฟิกบนหน้าเพจหรือหน้าบล็อกจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการติดอันดับ Infographic Image Optimization หนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Search Engine ด้วย

สิ่งสำคัญที่สุดในการนำ 3 เทคนิคในการสร้างรายได้จากโพสต์ด้วย SEO On-Page ข้างต้นไปใช้บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ผู้ทำคอนเทนต์ควรให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่กลุ่มเป้าหมายจะได้รับเป็นสำคัญ เมื่อคอนเทนต์มีประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ก็จะสามารถสร้างรายได้จากโพสต์ได้ในที่สุด