Google Search Console คืออะไร ใช้ประโยชน์อย่างไร

Google Search Console หรือชื่อเดิมที่หลายคนรู้จักคือ webmaster tools เป็นเครื่องมือที่ผู้ทำเว็บไซต์ SEO ควรรู้จัก เพราะจะช่วยตรวจสอบคุณภาพของเว็บไซต์ได้ตลอดเวลาว่า ตรงตามหลักเกณฑ์ SEO หรือ search engine optimization ที่ Google กำหนดไว้หรือไม่

หลังจากการติดตั้ง Google Search Console เรียบร้อยแล้ว ให้เลือกโดเมนของเว็บไซต์ในการใช้งานเครื่องมือนี้ และทำการยืนยันตัวตนและระบุตัวผู้ที่มีสิทธิ์ใช้งานดูแลเว็บไซต์ให้ชัดเจน

สิ่งที่ควรศึกษาใน Google Search Console เพื่อให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น มีดังนี้

1. ค่า Performance

เป็นสิ่งที่จะบอกได้ว่า keyword ที่คุณที่เว็บไซต์ใช้อยู่ในแต่ละเพจตรงกับการสืบค้นของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากเพียงใด จะมีกราฟเส้นและตัวเลขเปอร์เซ็นต์ ที่แสดงให้เห็นรายละเอียดต่าง ๆ เช่น

ค่า Total Clicks หมายถึงจำนวนครั้งที่มีคนคลิกเข้ามาชมในเว็บไซต์หลังจากเห็นส่วน title และ meta-description ในหน้าต่างการสืบค้น

ค่า CTR หมายถึงสัดส่วนผู้ที่เห็นเว็บไซต์กับผู้ที่คลิกเข้ามา หากค่า CTR สูง ก็แสดงว่าประสบความสำเร็จในการนำเสนอข้อมูล โดยเฉพาะการตั้งหัวเรื่องและบทคัดย่อที่น่าสนใจ

ค่า Average position หมายถึง อันดับที่เว็บไซต์ของคุณปรากฏบนหน้าต่างการสืบค้น หากอยู่ในอันดับ top10 หรือ top5 ก็ยิ่งดี เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและทำให้มีโอกาสได้รับการสั่งซื้อสินค้ามากกว่าเว็บไซต์ลำดับล่าง ๆ

2. ค่า URL expectations

เป็นช่องทางที่สะดวกในการตรวจสอบว่าระบบ algorithm ของ Google ได้มาเช็คข้อมูลในเว็บไซต์หรือเพจของคุณครั้งล่าสุดเมื่อใด และมีประเด็นไหนที่ต้องแก้ไขบ้าง หากยังไม่มีการอัปเดต ทั้งที่คุณได้มีการอัปโหลดข้อมูล รูปภาพ บทความใหม่ ๆ ลงไป ก็สามารถ กดปุ่ม Request index เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้ระบบ AI ของ Google รีบมาเก็บข้อมูลที่อัปเดตได้

3. ค่า Link

การทำลิงก์มีผลต่ออันดับ SEO ไม่ว่าจะเป็นลิงก์ระหว่างเว็บไซต์ที่คุณเชื่อมโยงเป็นพันธมิตรการค้า ที่เรียกว่า External Link หรือ Internal Link ที่เชื่อมเพจภายในเว็บไซต์ของตัวเอง

ฟังก์ชันนี้จะทำให้เห็นได้ว่าผู้คนที่เข้ามาในเว็บไซต์คุณนั้นมาจากการคลิกลิงก์ที่ใด เว็บไซต์ใดที่คุณควรให้ความสำคัญทำลิงก์ต่อไป หรือเป็นแนวทางในการขยายฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น ทั้งยังทำให้รู้ถึงความต้องการของลูกค้าเป้าหมายได้ว่า ต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมในบทความประเภทใดบ้าง หรือประทับใจในสไตล์การเขียนงานแบบใด เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า Google Search Console เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การทำ SEO ของคุณประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น ทำให้สามารถแก้ไขจุดอ่อนได้อย่างตรงตรงประเด็น และทำให้มีการขยายฐานลูกค้าของแบรนด์ที่กว้างขึ้นได้ในเวลารวดเร็ว ที่สำคัญคือ ทำให้มีตัวเลขยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายในยุคที่เศรษฐกิจมีความผันผวนอย่างในปัจจุบัน

Google Search Console คืออะไร ใช้ประโยชน์อย่างไร

เทคนิคการทำ SEO ให้รูปภาพ 2019

การทำ SEO ให้รูปภาพเป็นเทคนิคหนึ่งที่จะทำให้อันดับในการสืบค้นของเว็บไซต์ทางธุรกิจคุณดีขึ้นได้ นอกจากการทำลิงก์หรือหรือการใส่ keyword ในบทความแล้ว การปรับแต่งรายละเอียดต่าง ๆ ของรูปภาพยังส่งผลต่อความประทับใจของผู้ใช้งานเว็บไซต์และทำให้เสริมสร้างแบรนด์ของคุณให้เป็นเอกลักษณ์ได้มากขึ้นด้วย

การทำ SEO ให้รูปภาพอย่างมืออาชีพมีเทคนิค ดังนี้

1. การควบคุมขนาดรูป

การเพิ่มความประทับใจของผู้อ่าน ลดเวลาการรอคอยการดาวน์โหลดภาพและบทความ ด้วยการย่อรูปลงให้มีขนาดที่เหมาะสมในช่วง 700-800 Pixel ก็เพียงพอ หลายเว็บไซต์ที่มีการเช่าพื้นที่โดเมน จะต้องแชร์ทรัพยากรร่วมกัน จะมีปัญหาดาวน์โหลดนานเกิน 3-5 วินาที ทำให้เสียลูกค้าไปให้แบรนด์คู่แข่งอื่นได้ง่าย

2. การตั้งชื่อรูปภาพ

ควรใช้อักษรภาษาอังกฤษและใส่ keyword เดียวกันกับบทความลงไปด้วย เนื่องจากว่าจะทำให้ระบบ algorithm วิเคราะห์และประมวลได้ดีขึ้น ที่สำคัญคือ ควรใส่คำที่ตอบโจทย์ว่า บุคคลในภาพคือใคร กำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน มีอารมณ์อย่างไร และธีมสีภาพอะไรด้วย

3. การใช้ฟังก์ชั่น alt text ทำงาน

ฟังก์ชั่น alt text ของโปรแกรม wordpress จะช่วยในการอธิบายใส่รายละเอียดในรูปภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยจะมีระบบในการวิเคราะห์ว่าควรปรับแต่งเพิ่มเติมมากน้อยอย่างไรบ้าง จะทำให้ได้ภาพที่ผ่านการปรับแต่งให้เข้ากับหลักเกณฑ์ของ SEO มากขึ้น

4. การคิดหัวข้อหรือ Title ให้แก่รูปภาพ

คนทำเว็บไซต์ส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการทำหัวข้อ title ของบทความที่ต้องสะดุดตา ดึงดูดใจคนอ่านให้คลิกเข้ามาในเว็บไซต์หลังการ search ใน Google ซึ่งการทำหัวข้อ title ของส่วนรูปภาพ ก็มีผลต่อคะแนนจัดอันดับเว็บไซต์เช่นเดียวกัน ควรตั้งชื่อให้สอดคล้องกับบทความและต้องมี keyword หลักเดียวกันอยู่ด้วย

5. การผลิตรูปใหม่

การใช้รูปที่ถ่ายขึ้นเองใหม่จะมีผลดีต่อคะแนน SEO ที่สูงกว่าการใช้รูปดาวน์โหลดจากเว็บไซต์โดยเฉพาะแบบที่ให้ภาพฟรีปลอดลิขสิทธิ์ และยังเป็นการสร้างแบรนด์ของคุณให้ลูกค้าประทับใจมากขึ้น ในปัจจุบันโลกโซเชียลมีการแชร์บทความบ่อย ๆ หากคุณใช้รูปที่คนเคยเห็นจนชินตา ก็จะทำให้ความอยากอ่านบทความน้อยลง ทำให้อัตราการเคลื่อนไหวหรือค่า traffic ในเว็บไซต์ต่ำลง แนะนำว่าควรศึกษาเทคนิคการถ่ายภาพแบบมืออาชีพและเรียน Photoshop เพื่อการตกแต่งภาพสร้างความโดดเด่นยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า เทคนิคการทำ SEO ในภาพดังที่กล่าวมา เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้อ่านจดจำเว็บไซต์คุณมากขึ้น เป็นเทคนิคการสร้างแบรนด์ในระยะยาว ทั้งเพิ่มอันดับการสืบค้น จึงมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านนำหลัก SEO ไปปรับใช้กับรูปภาพได้มากขึ้นต่อไป

เทคนิคการทำ SEO ให้รูปภาพ 2019

วิธีการเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่ดี

การทำ SEO ให้แก่เว็บไซต์ออนไลน์เป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการแข่งขันทางการค้ามากขึ้น จากการที่เว็บไซต์จะถูกประเมินด้วยระบบ algorithm ของ Google ให้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของหน้าต่างการสืบค้น

ผู้ที่ต้องการจ้างบริษัททำ SEO จึงควรทราบวิธีเลือกบริษัทที่มีคุณสมบัติที่ดีเพื่อให้ไม่เสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงหรือคาดหวังผลเกินความเป็นจริง ดังนี้

1. การเลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ

โดยสังเกตจากใบทะเบียนการค้าและเว็บไซต์ที่มีการลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน มีที่อยู่และผู้รับผิดชอบที่ติดต่อได้จริง เป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานที่ต้องพิจารณา ทั้งนี้ ควรอ่านรีวิวโดยผู้ใช้บริการจริง ว่าให้ผลลัพธ์การทำ SEO ที่น่าพึงพอใจด้วย ซึ่งจะสามารถหาข้อมูลการรีวิวได้จากเว็บไซต์ออนไลน์ เช่น เว็บไซต์พันทิป หรือกลุ่มรับจ้างทำ SEO ใน Facebook

2. การมีขั้นตอนแบบมืออาชีพ

ผู้ให้บริการ SEO ต้องสามารถอธิบายได้ว่า ขั้นตอนการทำ SEO ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ซึ่งกูรูด้านการตลาดแนะนำว่า ควรเริ่มจากการปรับแก้ไขส่วนโครงสร้างพื้นฐานหรือที่เรียกว่า on-page SEO เพื่อสามารถต่อยอดให้ทำในส่วน Backlink และการเพิ่มบทความ SEO เพื่อส่งเสริมการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

3. การรายงานผล

ผลสรุปรายวันและรายเดือนสำหรับการทำ SEO มีประโยชน์ต่อการหาจุดบกพร่องที่ควรแก้ไขในแต่ละวัน บริษัทที่ทำ SEO จึงต้องมีการกล่าวถึงเรื่องนี้ในสัญญาจ้างงานด้วย

4. ต้องไม่เลือกวิธีที่ผิดกฎที่ Google กำหนด

การทำสแปม keyword (มีการใส่ keyword ซ้ำ ๆ หรือเป็นคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทความ) จะทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์ของลูกค้าตกต่ำลงไปได้ และในที่สุดก็จะถูกแบนจากระบบของ Google ได้ด้วย

5. ราคาการทำ SEO เหมาะสม

ราคาการจ้างงานจะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่แตกต่างจากปกติมากนัก หากคิดราคาถูกเกินไป อาจเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงหรือถูกทิ้งงานกลางคันได้

6. การการันตีผลการทำ SEO

โดยปกติแล้วระบบ algorithm ของ Google จะมีการเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นระยะ เพื่อนำไปประมวลและอัปเดตผลการเปลี่ยนแปลงการนำเสนอในหน้าต่างการสืบค้นอย่าง Google search ซึ่งจะไม่สามารถมีการบังคับอันดับการนำเสนอได้ สิ่งที่คาดหวังผลได้มากที่สุด คือ การทำให้เว็บไซต์อยู่ในหน้าแรกของหน้าต่างการสืบค้น หรือ Top 5 Top 10 เท่านั้น หากบริษัทที่รับทำ SEO การันตีว่าสามารถทำอยู่ในอันดับที่ 1 ได้อย่างแน่นอน อาจเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงหรือใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมได้

จะเห็นได้ว่า การเลือกบริษัททำ SEO จะต้องใส่ใจในเรื่องความน่าเชื่อถือ ขั้นตอนการทำ และศักยภาพของบริษัทที่รับทำ เพื่อให้ผู้จ้างทำ SEO ไม่เสียโอกาสการแข่งขันทางธุรกิจและทำให้การจ้างงานคุ้มค่ายิ่งขึ้น

การจ้างบริษัททำ SEO จึงควรทราบวิธีเลือกบริษัท

อยากให้เว็บไซต์เติบโตต้องรู้เทคนิคเลือก Keyword SEO และการเช็คผล

การทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จได้ดีนั้น จะต้องให้ความสำคัญกับ keyword SEO ที่ใช้เขียนบทความ ที่ต้องตรงกับการสืบค้นจริงของลูกค้าเป้าหมาย หากใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่เป็นที่นิยมก็ทำให้เสียเวลาในการเขียนบทความไปโดยเปล่าประโยชน์ และทำให้พลาดโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจกับเว็บไซต์อื่นด้วย

keyword SEO ที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้

1. เป็น Niche Long-tailed keyword

คือ ต้องมีการผสมคำสำคัญอย่างน้อย 3 คำเข้าด้วยกัน เพื่อการสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้เจาะจงยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ต้องการขายสินค้าแฟชั่นสไตล์เกาหลี ก็ควรที่จะใส่รายละเอียดลงไปให้ชัดเจน คือ “เสื้อแฟชั่น+เกาหลี+ผู้หญิง+ยี่ห้อ” เป็นต้น จะทำให้โอกาสที่จะมีคู่แข่งใช้คีย์เวิร์ดเดียวกันน้อยกว่าการใช้คำสั้น ๆ อย่าง “เสื้อแฟชั่น”

2. ใช้เครื่องมือในการวัดคุณภาพของ SEO

ตัวอย่างสำคัญ เช่น MOZ BAR ซึ่งสามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งใช้คู่กับ Chrome ได้ โดยหลังจากที่ดาวน์โหลดแล้วจะปรากฏข้อมูลที่สำคัญหลายอย่าง ซึ่งค่า DA PA จะช่วยให้เลือกคีย์เวิร์ดได้ดีขึ้น จากการสังเกตเปรียบเทียบกับเว็บไซต์คู่แข่ง อาทิ

ค่า DA หรือ Domain authority ที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการแข่งขันของ SEO ของทั้งเว็บไซต์ (ควรได้คะแนนอยู่ในช่วง 44 ถึง 95 จากคะแนนเต็ม 100)

ค่า PA หรือ Page Authority เป็นการแสดงประสิทธิภาพในการแข่งขันของ SEO เฉพาะแต่ละหน้าเพจ

3. Google search console

เป็นเครื่องมือสำคัญที่แสดงค่าสถิติให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า แต่ละคีย์เวิร์ดนั้นมีการคลิกเข้าชมอ่านบทความจากผู้ใช้งานจริงมากน้อยเพียงใด คุณควรเลือกคำที่มีการคลิกเข้าไปชมมากอันดับต้น ๆ เพราะแสดงถึงความต้องการข้อมูลที่ทันสมัยและอยู่ในกระแสความนิยมkeyword SEO ที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติ

หลังจากเลือกใช้ keyword SEO ตามหลักการและตัวเลขสถิติที่กล่าวมาได้แล้ว ผู้ทำเว็บไซต์ก็ควรรู้วิธีการตรวจสอบผลในการทำ SEO ด้วยว่าหลังจากทำแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงของอันดับที่ดีขึ้นด้วยหรือไม่ โดยการเช็คผ่าน integration Mode ใน Google Chrome (กด ctrl+Shift และ N พร้อมกัน) แล้วใส่ keyword ที่คุณใช้ในการสร้างบทความลงไป หากเว็บไซต์อยู่ในอันดับต้น ๆ (1-20) ก็จะปรากฏผลให้เห็นได้ชัดเจน

หรืออาจจะใช้วิธีที่ 2 คือ เข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ serplab.co.uk ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ สามารถเช็คอันดับของ เว็บไซต์ SEO ได้จากการพิมพ์คีย์เวิร์ดพร้อมกันได้ถึง 5 คำ

จะเห็นได้ว่า การทำเว็บไซต์ SEO ให้ประสบความสำเร็จ ต้องศึกษาหลักการนำคีย์เวิร์ด SEO ที่มีประสิทธิภาพมาใช้อย่างเหมาะสม และเรียนรู้การเช็คอันดับการเปลี่ยนแปลงผล SEO จึงจะทำให้เกิดการแก้ไขจุดบกพร่องได้ที่สาเหตุ และนำสู่การพัฒนาเว็บไซต์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

ทำไม ถึงต้องทำ Meta description ในเว็บไซต์ SEO

การทำเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงตามระบบ SEO (search engine optimization) ที่ Google แนะนำ เป็นสิ่งที่จำเป็นหากต้องการประสบความสำเร็จเหนือคู่แข่งทางการค้าในระบบอินเทอร์เน็ตออนไลน์ ซึ่งนอกจากการผลิตบทความ SEO การปรับส่วนโครงสร้าง การทำ backlink ฯลฯ ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ นั่นคือ การทำ Meta description ที่จะทำให้เพิ่มอันดับ SEO และยอดขายได้มากขึ้น

การทำ Meta description สำคัญต่อเว็บไซต์อย่างไร

การทำ Meta description เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในปี 2019 เพราะเป็นจุดที่ช่วยให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายตัดสินใจได้ว่า ควรจะคลิกเข้ามาในลิงก์จากหน้าต่างการสืบค้นดีหรือไม่

ซึ่ง Meta description จะปรากฏอยู่ในส่วนใต้หัวเรื่อง (title) ที่มักมีความยาวทั่วไปอยู่ที่ 150-160 คำ สำหรับให้ข้อมูลครบทุกประเด็นที่บทความกล่าวถึง ทั้งนี้ ด้วยความสั้น กระชับของ Meta description จึงต้องให้ความสำคัญกับ keyword ทั้ง focus keyword (คีย์เวิร์ดหลัก) และ related keyword (คีย์เวิร์ดรอง) ที่ต้องใส่ได้ครบถ้วนด้วย

เป็นที่ทราบกันดีว่า คนไทยนิยมค้นหาข้อมูลร้านค้าต่าง ๆ ด้วย Google ซึ่งผลลัพธ์ที่แสดงออกมา หากมีส่วน Meta description ที่ใต้หัวข้อเรื่อง จะส่งผลดีให้ดึงดูดใจผู้อ่านให้สะดุดสายตามากกว่าเว็บไซต์ที่ไม่มีข้อมูลส่วนนี้

ที่สำคัญคือ การมีผลการวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสำคัญ อย่าง Google search console ที่เจ้าของกิจการเว็บไซต์ออนไลน์สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี เพื่อให้เห็นกราฟการวิเคราะห์ผลสถิติการใช้งานต่าง ๆ ที่จะยืนยันได้ว่าหลังการทำ Meta description จะมีค่า CTR หรือ click through rate ที่หมายถึง อัตราการคลิกเข้ามาชมข้อมูลในเว็บไซต์ที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดด้วย

ทั้งนี้ กูรูการตลาดแนะนำว่า การทำ Meta description ที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสาร ควรจัดทำโดยผู้เขียนบทความของเพจนั้น ๆ เอง เช่น บทความเกี่ยวกับอุปกรณ์ไอที สินค้าที่มีข้อมูลทางเทคนิค เว็บไซต์ทางการแพทย์และสุขภาพ ฯลฯ เพราะต้องอาศัยความชำนาญในการสรุปประเด็นที่ครอบคลุมและชัดเจนที่สุดทำไม ถึงต้องทำ Meta description ในเว็บไซต์ SEO

ประเด็นที่ห้ามมองข้าม คือ การหา focus keyword (คีย์เวิร์ดหลัก) และ related keyword (คีย์เวิร์ดรอง) สำหรับการใส่ใน Meta description ที่ควรศึกษาจาก Google search console ที่มีข้อมูลให้ว่า คีย์เวิร์ดที่ผู้คนนิยมค้นหาที่ตรงกับกลุ่มผู้ใช้สินค้าและบริการของบริษัทคุณมีคำว่าอะไรบ้าง ซึ่งคำที่นิยมทั่วไป มักใช้เป็น คีย์เวิร์ดหลัก และหากมีส่วนขยาย เช่น อย่างไร ดีไหม ที่ไหนบ้าง ฯลฯ เหล่านี้ มักใช้เป็น คีย์เวิร์ดรอง หรือวิธีที่ง่ายที่สุด คือการพิมพ์หาใน Google search เพื่อดูตัวอย่างคำที่นำเสนออย่างอัตโนมัติจากระบบ algorithm ของ Google ซึ่งก็มาจากการพิมพ์สืบค้นจริงของผู้คนทั่วไปนั่นเอง

จะเห็นได้ว่า การทำ Meta description มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการทำเว็บไซต์ SEO ให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกท่านใส่ใจการทำ Meta description ให้เว็บไซต์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ได้ยิ่งกว่าเดิม

สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มทำ SEO ให้เว็บไซต์ออนไลน์

การทำ SEO ไม่ใช่เป็นเพียงเทรนด์การตลาด แต่เป็นสิ่งที่ควรทำให้แก่ทุกเว็บไซต์ เนื่องจากจะทำให้ถูกสืบค้นได้ง่าย จากการพิมพ์ keyword SEO ใน Search Engine อย่าง Yahoo และ Google จากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จึงช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างฐานลูกค้าที่กว้างขวางขึ้นได้ในระยะยาว

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ต้องมีการพัฒนาเว็บไซต์ใน 2 ส่วน ดังนี้

1. On-Page SEO

ได้แก่ การผลิตบทความในเพจ ที่ต้องเลือก keyword SEO ที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วว่าตรงกับที่กลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ใช้ค้นหา ซึ่งปัจจุบันควรใช้ Niche Keyword ที่มีความจำเพาะเจาะจงมากขึ้น

เช่น ใช้คำว่า “รองเท้ากีฬา วิ่ง ผู้หญิง สีชมพู Nike รุ่น” จะทำให้มีโอกาสได้รับการคลิกเข้ามาชมและมียอดขายได้มากกว่า การใช้คำว่า “รองเท้าวิ่ง”

นอกจากนี้ ต้องมีการออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่าย ทั้งบนโทรศัพท์มือถือและหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่สั่งสินค้าทางมือถือมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

2. Off-Page SEO

คือ การเชื่อมโยงลิงก์กับเว็บไซต์ภายนอก เช่นการไปตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ และแนบ Link ไว้เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาดูข้อมูลเพิ่มในเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณ

เทคนิคนี้จะทำให้ได้ขยายแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น และเป็นการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณ จึงทำให้อันดับของ SEO ดีขึ้นตามไปด้วย

ทั้งนี้ ระบบ Algorithm ของ Search Engine จะเป็นผู้ที่ประมวลผลการพัฒนาเว็บไซต์ทั้งหมด หากไม่เป็นตามหลักการของ SEO ก็จะถูกจัดอันดับให้ตกลงไปด้านล่าง เช่น เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเป็น spam ใส่ keyword ที่ไม่ตรงกับสินค้า ใช้การคัดลอกเนื้อหาและภาพซึ่งเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังต้องหมั่นอัพเดทข้อมูลและพัฒนาเว็บไซต์ SEO อย่างสม่ำเสมอ เพราะหากคุณหยุดนิ่ง ก็ทำให้เว็บไซต์อื่นมีอันดับที่สูงกว่าได้ เรียกได้ว่าการทำ SEO ทำให้ผู้ที่มีความจริงจังในการพัฒนาเว็บไซต์ได้เปรียบคู่แข่งอย่างมาก

นับว่าเป็น ข้อดีที่สำคัญของการทำ SEO เพราะทำให้ทุกธุรกิจ ไม่ว่าเป็นองค์กรเล็กหรือใหญ่ ย่อมมีโอกาสปรากฏสู่สายตาของลูกค้าผู้บริโภคเท่าเทียมกัน ไม่สามารถผูกขาดอันดับ SEO ได้ (นักธุรกิจออนไลน์หน้าใหม่ จึงคลายความกังวลได้ เพียงใช้เวลา 2-3 เดือนในการทำ SEO อย่างต่อเนื่อง ก็สามารถมีศักยภาพในการแข่งขันที่มากทัดเทียมกับเจ้าตลาดรายเก่า)

การทำ SEO จึงต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือจ้างบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ ที่สำคัญ คือ ต้องมีการวัดผลการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจเมื่อทำ SEO เป็นระยะ จึงจะเกิดการพัฒนาเว็บไซต์อย่างเป็นระบบ และบรรลุเป้าหมายในการทำธุรกิจออนไลน์ได้อย่างงดงาม

พัฒนาเว็บไซต์ SEO อย่างสม่ำเสมอ

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ SEO ในปี 2019

การขายของออนไลน์ในปัจจุบันมีคู่แข่งทางธุรกิจจำนวนมาก เพราะความสะดวกในการเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตที่มีความไวระดับ 5G ทำให้ใคร ๆ ก็นำสินค้าและบริการมาเสนอขายได้อย่างง่ายดายทั่วโลก เพราะเป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้ซื้อส่วนใหญ่ ที่มีการสั่งซื้อสินค้าผ่านมือถือมากกว่า 90%

ผู้ที่จะทำเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าออนไลน์ จึงต้องทำให้เป็นระบบ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อช่วยเพิ่มอำนาจการแข่งขันให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

SEO เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ Search Engine อย่าง Yahoo, Bing Google กำหนดไว้ โดยจะต้องมีการพัฒนาใน 2 ส่วนคือ

1. On-Page SEO

หมายถึง การปรับที่ส่วนโครงสร้างและองค์ประกอบหน้าเว็บไซต์ ซึ่งทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่คลิกเข้ามาดูข้อมูลสินค้าหรืออ่านบทความในหน้าเพจมีความประทับใจและอยากกลับมาใช้บริการซ้ำอีก ได้แก่

การปรับให้โครงสร้างเว็บไซต์สวยงาม ทั้งตัวอักษร โลโก้ การจัดวางหมวดหมู่ ที่สร้างความจดจำได้ยาวนาน

ใช้งานง่ายทั้งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์และผ่านโทรศัพท์มือถือ

ใช้ Keyword SEO เป็นส่วนประกอบในบทความอย่างเหมาะสมโดยปัจจุบันควรเลือก Niche Keyword ที่มีสถิติพบว่าตรงกับที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ ใช้ค้นหาผ่านช่อง Search ของ Yahoo, Bing Google มากที่สุด

บทความ SEO ที่ผลิตออกมา ในแต่ละเพจควรใช้ Keyword SEO ไม่เกิน 2-3 คำ โดยซ้ำไม่เกิน 2-3 ตำแหน่ง จึงจะทำให้ไม่ถูกระบบอัลกอริทึมวิเคราะห์ว่าเป็นบทความขยะหรือ Spam

มีศิลปะและไอเดียสร้างสรรค์ในการทำสื่อประกอบบทความที่ตรงใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มีการเลือกสีที่เหมาะสมกับแบรนด์สินค้าตัวอย่างเช่น สินค้าออร์แกนิกที่เน้นความเป็นธรรมชาติและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ควรจะใช้สีครีม สีเขียว สีน้ำตาล เป็นสีประจำของเว็บไซต์ เพราะมีความหมายที่สื่อถึงความเป็นธรรมชาติ ไร้สารพิษ เป็นต้น

2. Off-Page SEO

มีเทคนิคที่นิยม คือ การทำ Backlink เชื่อมโยงหลายเว็บไซต์เข้าด้วยกัน เช่น การที่คุณไปเข้าร่วมในกลุ่มสนทนาในห้องแชทออนไลน์ต่าง ๆ แล้ว ร่วมตอบคำถามให้ความคิดเห็น หรือให้ความรู้ที่มีประโยชน์ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือความเชี่ยวชาญที่คุณมี เช่น หากคุณจำหน่ายรองเท้าเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ก็ควรเข้าในกลุ่มสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ หรือกลุ่มครอบครัว เพื่อให้ตรงกับความสนใจของสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งหากมีผู้ที่สนใจสินค้าจำพวกรองเท้าเพื่อสุขภาพ คุณสามารถแนะนำเว็บไซต์ของคุณได้ การใช้วิธีนี้จะทำให้ไม่โดนแบนออกจากกลุ่ม และเป็นการสร้างฐานลูกค้าใหม่ที่ได้ผลดีมาก

การทำเว็บไซต์ SEO เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาในหลายส่วนพร้อมกัน หากคุณต้องการให้การขายสินค้าออนไลน์ ประสบความสำเร็จ ก็จำเป็นต้องศึกษาเพื่อให้นำความรู้มาปรับใช้ให้ธุรกิจเติบโตได้มากที่สุดในปี 2019 นี้

เทคนิคที่นิยม คือ การทำ Backlink เชื่อมโยงหลายเว็บไซต์

วิธีทำให้เว็บไซต์ SEO ตรงใจลูกค้าผู้ใช้งาน อยากขายดีต้องอ่าน

การทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ให้ตรงใจลูกค้าเป้าหมายจนขายดีได้นั้น ไม่สามารถเน้นที่แค่ความสวยงามของเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว ยังต้องอาศัยองค์ประกอบอื่น ๆ และมีการพัฒนาเว็บไซต์ตามหลัก SEO อย่างสม่ำเสมอด้วย จึงจะเห็นผลลัพธ์ความสำเร็จทั้งยอดขายและจำนวนลูกค้าได้

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคการตลาดแบบไม่ต้องใช้เงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณา เพียงแต่อาศัยการปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์ให้เหมาะสม ตามที่ Search Engine ระบุเกณฑ์ไว้ ซึ่งมีกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเว็บไซต์ออนไลน์ออกมาแนะนำวิธีการทำ SEO มากมาย

เราขอสรุปหลักการที่ควรทราบ เพื่อให้เว็บไซต์ SEO ที่ทำตรงใจกลุ่มเป้าหมาย จนเพิ่มยอดขายได้จริง ดังนี้

1. เลือก Keyword ที่เหมาะสม ควรใช้เป็น Long-Tailed Keyword ทำให้ตรงกับการสืบค้นของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากกว่าการใช้ Keyword กว้าง ๆ ทั่วไป

ตัวอย่างเช่น ใช้คำว่า ร้านขายดอกไม้ รับปริญญาออนไลน์ราคาถูก ดีกว่าใช้คำว่า ร้านขายดอกไม้ออนไลน์ เป็นต้น จะมีโอกาสขายให้คนที่กำลังมองหาดอกไม้ราคาถูกให้บัณฑิตช่วงรับปริญญาได้ดียิ่งขึ้น

2. เลือก Web Hosting ที่มีคุณภาพ เพื่อให้ระบบการบริหารจัดการราบรื่น ทั้งยังมีทีมงานที่ดูแล Server แก้ปัญหาให้อย่างรวดเร็ว ไม่มีปัญหาเว็บค้าง หรือใช้เวลาดาวน์โหลดนานซึ่งจะส่งผลต่อความประทับใจของผู้ใช้งาน อย่าลืมว่า แม้ว่าทำเว็บไซต์ SEO ได้ดีมีคุณภาพ แต่ถ้าใช้เวลาโหลดนานก็อาจไม่เป็นที่ประทับใจ ทั้งนี้ มีการวิจัยว่าหากรอคอยการโหลดนานเกิน 3 วินาที จะทำให้ผู้ใช้งานกดปิดและเปลี่ยนไปดูข้อมูลจากเว็บไซต์อื่นแทน

3. เลือกทีมงานผู้ผลิตบทความ SEO ที่มีคุณภาพ มากกว่าการเลือกจากราคาบทความที่ถูก เพราะเนื้อหาเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าได้รับความรู้และเชื่อมั่นในแบรนด์สินค้า เทคนิคการเขียนที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ อีกทั้งต้องไม่มีการคัดลอกบทความมาจากแหล่งอื่น บทความที่มีคุณภาพจะทำให้ค่าทางสถิติ เช่น ระยะเวลาในการชมเพจ หรือ Time On Site ยาวนาน มีการคลิกเข้ามาชม Click Through Rate (CTR) เป็นสัดส่วนที่สูง ซึ่งยิ่งส่งผลดีต่ออันดับ SEO ได้ด้วย

4. การตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้าและบริการในเว็บไซต์ในสังคมโซเชียล เช่น Pantip จะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น และสามารถที่จะแนะนำลิงก์ เพื่อให้ผู้ที่ต้องการข้อมูลมาสอบถามหรือชมสินค้าของคุณ จนมีการเพิ่มยอดขายที่ดีในระยะยาวได้

จะเห็นได้ว่า หากต้องการให้เว็บไซต์ตรงใจผู้ซื้อ จนเพิ่มยอดขายจากการทำ SEO แล้ว ต้องใช้หลายเทคนิคร่วมกันและมีความสม่ำเสมอในการทำ แม้ต้องใช้เวลา 5 ถึง 6 เดือนขึ้นไปกว่าจะเห็นผลชัดเจน แต่กูรูเว็บไซต์การันตีว่ายอดขายจะเพิ่มมากขึ้นแน่นอน

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization

SEO ปี 2019 ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

ในการทำคอนเทนต์การตลาดแบบ SEO มีเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงเข้มข้นมากขึ้น จำเป็นที่จะต้องพัฒนาเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อที่เราจะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งทางธุรกิจของเราได้ผ่านบทความ การสื่อสารหรือ SEO และสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้คือ ความชัดเจนในการทำธุรกิจว่าเราทำธุรกิจอะไร และกำลังสื่อสารกับใครอยู่ เพื่อที่จะได้สื่อสารแบรนด์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น การทำ SEO ก็เช่นเดียวกัน ต้องมีการอัปเดตการทำ SEO แบบใหม่ ๆ อยู่เสมอ และสิ่งที่ SEO ปี 2019 สิ่งที่ต้องคำนึงมีดังต่อไปนี้

กำหนดเป้าหมายในการสื่อสารให้ชัดเจน

สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ผู้ทำระบบ SEO จะต้องรู้และกำหนดก็คือ การรู้ว่าต้องการจะสื่อสารกับใครลูกค้าเป็นลูกค้ากลุ่มไหน ซึ่งสิ่งนี้สำคัญมากกว่าการกำหนดเป้าหมายในการค้นหา เนื่องจากที่มาของข้อมูลมาจากกลุ่มผู้คน ดังนั้นเราจะต้องรู้ว่าลักษณะนิสัย ความชอบ ค่านิยม สิ่งที่กลุ่มเป้าหมายเราเป็นอย่างไร และต้องการอะไร เพื่อที่เราจะได้สื่อสารได้ถูกต้อง และตรงกลุ่มเป้าหมาย

SERP คือ สิ่งที่การตลาดให้ความสำคัญ

SERP (Search Engine Result Page) มีหน้าที่ในการค้นหาข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูลของ Google ดังนั้น สิ่งที่คนทำ SEO ให้ความสำคัญคือ การทำให้หน้าเว็บไซต์ของสินค้า และบริการของตนนั้นติดอันดับหน้าแรกของกูเกิล หรือในการค้นหา เพราะจะมีผลในการตัดสินใจของลูกค้า หรือผู้ที่มาค้นหาสิ่งนั้น ๆ

Content ที่สร้างจะต้องมีคำที่เป็น Keyword

สิ่งสำคัญในการทำคอนเทนต์ให้ติดหน้าแรกได้นั่นก็คือ คีย์เวิร์ด คีย์เวิร์ดจะเป็นตัวที่ทำให้ลูกค้าหาเราเจอ โดยGoogle จะทำการเลือกบทความหรือ คอนเทนต์ที่มีประโยชน์มีคุณภาพ สด ใหม่ และตรงตามคีย์ของการค้นหา ดังนั้นการทำ SEO จึงต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะสื่อสารให้ชัดเจน จากนั้นจึงกำหนดคีย์เวิร์ดให้เกี่ยวข้องสิ่งที่ผู้คนต้องการค้นหาให้ได้มากที่สุด

ประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญในการทำ SEO

เพื่อความง่ายต่อการค้นหาของผู้คนที่ต้องการค้นหาข้อมูลในครั้งถัดไป จำเป็นที่จะต้องมีการบันทึกประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ใช้ง่ายและไม่เกิดความสับสนยุ่งยากมากเกินไป ไม่เสียเวลาในการโหลดหน้าจอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการใช้งานแบบมือถือ สิ่งสำคัญของเว็บในการใช้งานคือ UI (User Interface) ที่ต้องการการทำงานที่ไม่ซับซ้อนจนเกินไปต่อการค้นหาข้อมูลและการทำงานของเว็บไซต์

การปรับแต่งเว็บไซต์ภายในบนเว็บเพจ

การปรับแต่งเว็บเพจเป็นการปรับแต่งการใช้งานที่ต้องการนำเสนอเพื่อรองรับกลุ่มคนที่เราต้องการเข้ามานั่นคือ ความสะดวกในการเข้ามาค้นหาและอ่านข้อมูล ดังนั้นสิ่งที่เจ้าของเว็บจะต้องจัดเตรียมคือ การกำหนดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ มีคีย์เวิร์ดประกอบในการใช้งาน และการรักษาประสบการณ์ของผู้ใช้เอาไว้ด้วย

ในปี 2019 เป็นปีที่มีการแข่งขันการทำ SEO เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงก็คือ คีย์เวิร์ดของกลุ่มลูกค้า โดยศึกษาลูกค้าของแต่ละกลุ่มให้ดีเพื่อไม่ให้ข้อมูลนั้นสูญเปล่า และจะต้องเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเป็นที่ต้องการสูง จึงจะทำให้เว็บนั้นติดหน้าแรก อีกทั้งการเข้าถึงข้อมูลจะต้องง่ายและไม่ซับซ้อนจนเกินไป รองรับการเข้าใช้งานผ่านมือถือสมาร์ทโฟน

กำหนดเป้าหมายในการสื่อสารให้ชัดเจน

ลิงก์แบบ Do Follow คืออะไร มีผลกับ SEO อย่างไร

เมื่อเจ้าของธุรกิจสร้างเว็บไซต์ใหม่ ต้องการโปรโมทให้เว็บติดอันดับหน้าแรกของเครื่องมือค้นหามีหลายวิธี แต่ละวิธีให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นคือการสร้างลิงก์แบบ Do Follow เป็นวิธีการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่นเพื่อเพิ่มคะแนน SEO โดยไม่สร้างจุดด่างพร้อยเพราะไม่ผิดกติกาของ Google การสร้างลิงก์แบ่งออกเป็น Do Follow และ No Follow มีรายละเอียดแตกต่างกันดังนี้

Do Follow สร้างลิงก์เพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บ

การสร้างลิงค์ Do Follow เป็นการเชื่อมโยงจากเว็บไซต์ไปยังเว็บอ้างอิงอื่น ๆ พร้อมกับส่งต่อลิงก์กลับมายังเว็บของตนเองเพื่อเปิดการค้นหาติดตามทำให้ผู้ชมคลิกกลับมายังเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและเครื่องมือค้นหาสามารถติดตามได้เช่นเดียวกัน เรียกว่าทั้งเพิ่มจำนวนลิงก์ (Back Link) ให้เว็บของตัวเองและช่วยเพิ่มค่าอันดับ (PageRank) ด้วย บอทของเครื่องมือค้นหาจะนับจำนวนคนเข้า ด้วยเหตุนี้ยิ่งมีลิงก์มากเท่าไรก็จะได้รับคะแนน SEO มากขึ้นซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเว็บไซต์ให้ได้รับการจัดลำดับในอันดับที่ดีขึ้น วิธีดีที่สุดคือการเขียนบทความที่มีประโยชน์ น่าอ่าน โดยใช้คำหลักเป็นตัวยึดข้อความเชื่อมโยงกับคำค้นหาของผู้ใช้เสิร์จเอนจิ้นนั่นเอง การตั้งค่า Do Follow นับเป็นสิ่งสำคัญเพราะทำให้ได้ลิงก์กลับมาจากทุกที่ รวมถึงลิงก์ติดตามจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้อีกด้วย

No Follow

การตั้งค่า No Follow หมายถึงการสร้างลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บอื่นโดยไม่เปิดให้เครื่องมือค้นหาติดตามลิงก์ จึงไม่มีการนับคะแนนแบบการทำ SEO แต่ยังเชื่อมโยงให้ผู้ชมคลิกย้อนกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณได้ มีจำนวนผู้เข้าชมมากขึ้น แตกต่างตรงที่ไม่มี BackLink กลับมาที่เว็บของตัวเอง และไม่ช่วยเพิ่มค่าอันดับของหน้าเว็บไซต์ให้สูงขึ้น ถือเป็นวิธีการสร้างลิงก์แบบธรรมชาติที่ปลอดภัย ไม่เสี่ยงกับลิงก์คุณภาพต่ำที่เป็นอันตรายต่อเว็บไซต์ ถึงจะไม่เพิ่มอันดับเว็บแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลิงก์นั้นไม่มีประโยชน์ เพราะการที่เว็บไซต์มีการเข้าชมจำนวนมากให้ประโยชน์มากมาย ช่วยให้เว็บเป็นที่รู้จักมากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการขายมากกว่าคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน

การตรวจสอบลิงก์ว่าเป็น Do Follow หรือ No Follow มีข้อแตกต่างดังนี้

ลิงก์ Do Follow เช่น SE Ranking

ลิงก์ No Follow เช่น SE RankingDo Follow สร้างลิงก์เพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บ

เว็บมาสเตอร์ที่เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรใช้ผสมผสานทั้ง Do Follow และ No Follow ต้องสร้างความสมดุลให้ดี เพราะการสร้างลิงก์ขาเข้าเป็น Do Follow ทั้งหมดจะน่าสงสัยและไม่เป็นธรรมชาติ อย่ามองว่าลิงก์ประเภท No Follow ไม่มีค่าสำหรับ SEO แต่ควรมองประโยชน์ในด้านทำให้ธุรกิจและแบรนด์เป็นที่รู้จัก ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น การสร้างลิงก์แบบ No Follow เหมาะใช้ในกรณีที่ไม่ต้องการติดตามเนื้อหาในเว็บที่ไม่น่าเชื่อถือ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในระยะยาว การสร้างลิงก์ Do Follow และ No Follow ให้ผลลัพธ์ที่ดีแตกต่างกันไปและถูกกว่าการทำโฆษณาแบบอื่น ๆ มาก การรอผลลัพธ์นั้นต้องใช้เวลาแต่จะช่วยให้เข้าไปอยู่ในหน้าแรก ๆ ในการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google ได้อย่างแน่นอน