จริงหรือไม่ กับคำกล่าวที่ว่า SEO คือ การโฆษณาออนไลน์ฟรี

การทำเว็บไซต์ขายสินค้าและบริการออนไลน์ในยุคปัจจุบัน มีความจำเป็นต้องหาช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มคนเป้าหมายให้ได้มากที่สุด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการทำ SEO ให้เว็บไซต์สามารถถูกตรวจสอบได้ง่ายจากระบบ algorithm ของ search engine และหากถูกจัดอันดับไว้บนขั้น top 5 ของหน้าต่างเมื่อใด การค้นหาเพื่อเข้าถึงก็ยิ่งง่ายขึ้น

มีการกล่าวว่า SEO เป็นเสมือนหนึ่งวิธีการโฆษณาแบบฟรีของแบรนด์ต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ซึ่งในช่วงสองสามปีหลังนี้เป็นที่นิยมมาก ซึ่งจะมีความจริงอย่างไร เรามาดูกัน

ทำเว็บไซต์ SEO อย่างไร เรียกลูกค้า

การทำ SEO ให้เว็บไซต์ คืออะไร

การปรับโครงสร้างของเว็บไซต์และเนื้อหาให้มีคีย์เวิร์ด SEO ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายในการสืบค้นข้อมูล เช่น ลูกค้าที่ต้องการหาแหล่งที่พัก สำหรับการท่องเที่ยวในไทยใน ปี 2019 หากคุณเป็นเจ้าของรีสอร์ต ก็ต้องทำเว็บไซต์ออนไลน์ที่มีบทความ SEO ที่มีคุณภาพ ทำให้ลูกค้าเห็นข้อดีของการพักที่รีสอร์ทคุณ จะได้รับความสะดวกสบายอย่างไร หรือมีความใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญใดบ้าง ก็ต้องกล่าวถึงในบทความด้วย จึงจะดึงดูดใจลูกค้า และคีย์เวิร์ด SEO ของคุณ ก็คือ คำว่ารีสอร์ทจังหวัดxxxนั่นเอง

ข้อเท็จจริงในการทำ SEO มีอะไรบ้าง

การทำ SEO จำเป็นต้องทำต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยเฉพาะธุรกิจหมวดที่มีการแข่งขันกันสูง เช่น โรงแรม อาหารเสริม ร้านจัดช่อดอกไม้ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่า หากเว็บไซต์ใดไม่มีการอัพเดตข้อมูลใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ และขาดคีย์เวิร์ดที่ผ่านการวิจัย หรือสืบค้นด้วยโปรแกรมมาก่อน ก็ค่อนข้างยากที่จะประสบความสำเร็จ อยู่ในหน้าแรกของผลลัพธ์การสืบค้นของ google yahoo ซึ่งเป็น search engine ที่เป็นแนวหน้าชั้นนำของโลกในทุกวันนี้

การทำ SEO โดยเจ้าของเว็บไซต์เป็นผู้ทำเองทั้งหมด เรามักไม่พบเห็นกันบ่อย ๆ เพราะมีรายละเอียดที่ต้องลงลึก และใช้เวลาค่อนข้างมาก จึงมีบริษัทที่ช่วยรับหน้าที่นี้ โดยต้องจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือน หรือรายปี เพื่อความต่อเนื่องในการปรับรูปแบบและเนื้อหา โดยบริษัทเหล่านี้จะมีการทำ report ส่งแก่เจ้าของเว็บไซต์ว่ามีผลการจัดอันดับ ผลการเข้าชมหรือที่เรียกว่า traffic เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างในแต่ละวัน

ทำเว็บไซต์ SEO เรียกลูกค้าดี

การทำ SEO จึงเป็นการทำให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับดี ๆ ในการสืบค้น โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาแก่ google yahoo ต่างจากการทำโฆษณาแบบ AdWords ที่เจ้าของเว็บไซต์ ต้องจ่ายแก่ search engine ต่อการคลิกแต่ละครั้ง ซึ่งอย่างหลังนี้เรียกว่าเป็นการเสียค่าใช้จ่ายในการโปรโมตที่เป็นรูปธรรม แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า SEO จำเป็นต้องจ้างผู้มีความชำนาญในการทำอย่างต่อเนื่องด้วย คำกล่าวว่า SEO เป็นการโฆษณาฟรีจึงขึ้นกับมุมมองและการตีความของแต่ละคน

การสร้างบทความ SEO ที่ดี สำหรับปี 2019

การทำบทความ SEO ให้มีคุณภาพสำหรับการส่งเสริมธุรกิจและเพิ่มยอดขายเป็นสิ่งสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้ในปัจจุบัน การเขียนบทความที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ปราศจากการคัดลอกมีผลต่อการจัดอันดับความนิยมในเว็บไซต์เพื่อการสืบค้น โดยระบบอัลกอริทึ่มของ search engine จะเป็นผู้ประมวลผลนี้

ในปี 2019 บทความ SEO ที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง จึงจะส่งเสริมธุรกิจออนไลน์ท่ามกลางกระแสการแข่งขันที่สูงเช่นในปัจจุบัน เรามาหาคำตอบไปพร้อมกันเลย

การสร้างบทความ SEO ที่ดี

การเชื่อมโยงบทนำเข้าสู่เนื้อหาใหญ่

บทความที่ชวนอ่านต้องมีการเชื่อมโยงประเด็นจากสิ่งใกล้ตัวให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญ เป็นการเปิดใจ หรือเปิดโลกทัศน์ของผู้อ่านให้พร้อมสูงเนื้อหาสำคัญต่อไป ในขั้นตอนของบทนำก็ต้องมีการใส่คีย์เวิร์ด SEO ด้วยเพื่อให้สามารถถูกตรวจจับได้จากระบบการสืบค้น

การใส่คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมในบทความ SEO

ระบบการสืบค้นจะให้อันดับที่ดีแก่บทความที่มีคีย์เวิร์ด SEO ที่สอดคล้องและกลมกลืนกับเนื้อหา ทั้งยังต้องมีการกระจายคีย์เวิร์ดในตำแหน่งต่าง ๆ สม่ำเสมอ ไม่ควรใช้คำเดิมซ้ำบ่อย ๆ จนเกินไป เพราะจะทำให้ระบบ search engine ตีความว่าเป็นบทความขยะ หรือ spam

ก่อนจบบทความ ต้องมีวลีน่าสนใจทิ้งท้ายและชวนให้ติดตามต่อ

แม้ในส่วนของเนื้อหาจะมีความน่าดึงดูดใจและอ่านเพลินแล้ว แต่การเพิ่มความประทับใจแบบสวยงามด้วยการให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเห็นว่าเหตุใดจึงควรติดตามการเคลื่อนไหวในวงการสินค้าและบริการนั้น เช่น วงการมือถือและสินค้าไอที เครื่องเล่นเกมส์รุ่นใหม่ ๆ ฯลฯ จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ทันสมัย เพิ่มความสัมพันธ์อันดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้าซึ่งจะทำให้มีโอกาสสูงที่ลูกค้ากลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ และเป็นผู้สนับสนุนซื้อสินค้าและบริการในระยะยาว

การมีภาพที่น่าสนใจจะช่วยให้บทความน่าอ่าน

ต้องยอมรับว่ารูปภาพและคลิป VDO เป็นสิ่งที่ชวนให้ผู้อ่านติดตามและจดจำเว็บไซต์ผู้เป็นแหล่งข้อมูลนั้นดีขึ้น เนื่องจากไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญในธุรกิจออนไลน์นิยมใช้เวลาครั้งละสั้น ๆ แต่มีความถี่สูงในการชมข้อมูลที่น่าสนใจจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ปรากฏจากการใส่คีย์เวิร์ดสืบค้น ใน yahoo google Bing

ดังนั้นบทความ SEO ในปี 2019 จึงควรมีภาพและคลิปประกอบที่สัมพันธ์กันและส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหาบทความยิ่งขึ้น เช่น ภาพการทำงานของปุ่มคีย์บอร์ดชนิดต่าง ๆ สำหรับให้ลูกค้าเปรียบเทียบคุณสมบัติที่แตกต่างของคีย์บอร์ดแต่ละรุ่น สำหรับเว็บไซต์ขายคีย์บอร์ด ภาพกลไกการออกฤทธิ์ของยาและภาวะโรคสำหรับเว็บไซต์เกี่ยวกับสินค้าสุขภาพ เป็นต้น

การสร้างบทความ SEO สำหรับปี 2019

จะเห็นได้ว่า การทำบทความ SEO ที่ดีมีประโยชน์ต่อทั้งธุรกิจและลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย การเพิ่มรูปภาพและคลิปที่เหมาะสมเป็นการสร้างคุณค่าให้แก่ตัวงานเขียนให้มีความโดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์หรือ unique ยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ในปี 2019 ประสงค์จะได้เห็นจากเว็บไซต์ออนไลน์นั่นเอง

4 เรื่องต้องรู้ของ SEO และ SEM

ปัจจุบันมีหลายบริษัทรับจ้างทำการตลาดออนไลน์สำหรับธุรกิจขายสินค้าและบริการทางหน้าเว็บไซต์ ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าของธุรกิจมือใหม่ในการเลือกระหว่าง SEO และ SEM และนี่คือ 4 เรื่องที่ควรทราบเพื่อการวิเคราะห์เลือกการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจคุณ

เรื่องต้องรู้ของ SEO และ SEM

1. SEO ต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือนกว่าจะเห็นผลลัพธ์จากยอดขายหรืออันดับสืบค้นที่สูงขึ้นเป็น top five หรือ top ten เนื่องจากระบบอัลกอริทึ่มของ search engine อย่างกูเกิ้ล ยาฮู บิง ต้องประมวลผลจากดาต้าที่สะสมในฐานข้อมูล แตกต่างจาก SEM ที่สามารถขึ้นอันดับสูง 1-3 ได้ทันทีหลังการจ้างทำโฆษณา

2. การทำ SEO ไม่สามารถการันตีได้ว่าผลลัพธ์ด้านรายได้จะเห็นผลคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของการลงทุนจ้างบริษัทเอกชนทำ SEO เนื่องจากต้องใช้เวลาและต้องแข่งกับเจ้าของสินค้าและผลิตภัณฑ์คู่แข่งอื่นที่ทำทั้ง SEO และ SEM ส่วนการจ้างทำ SEM จะสามารถคาดได้ง่ายกว่าว่าลงทุนจ้างทำ SEM วันนี้กี่บาท จะมีโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กี่คนต่อชั่วโมงและจะมีการตอบกลับเชิงบวกหรือเกิดการซื้อสินค้าและบริการเป็นยอดรายได้และกำไรคิดเป็นกี่เท่าจากการลงทุนจ้างทำ SEM

3. คนส่วนใหญ่ชอบดูการโฆษณาที่มีเนื้อหาใกล้ชิดหรือสอดคล้องกับวิถีชีวิตของตัวเอง ซึ่งเป็นแนวทางในการทำ SEM ให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้นการจ้างบริษัทเอกชนที่มีประสบการณ์ด้านงานโฆษณาและมีไอเดียแปลกใหม่ในการทำ SEM ก็มักจะได้ผลสำเร็จที่ดี เป็นที่เตะตากลุ่มคนทั่วไป รวมถึงกลุ่มคนเป้าหมายให้เข้ามาซื้อสินค้าและบริการได้ดียิ่งขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการลงทุนเป็นเม็ดเงินด้วย ขณะที่การทำ SEO สามารถเรียนรู้และทำได้ด้วยตัวเองไปเรื่อย ๆ หรือหากต้องการกูรูมืออาชีพก็สามารถจ้างทำ SEO ในระยะแรก แล้วศึกษาด้วยตัวเองควบคู่กันไป เพื่อในระยะยาวเจ้าของเว็บไซต์จะได้ดูแลด้วยตัวเองและปรับแต่งส่วนต่าง ๆ แก้จุดอ่อนเสริมจุดแข็งเองได้

4. การทำ SEO และ SEM ต่างต้องมีคีย์เวิร์ดที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายที่ค้นหาข้อมูลผ่าน search engine แต่สิ่งที่ต่างกันคือ SEM มักมีการวิจัยตลาดที่เข้มข้นกว่าเพื่อจับประเด็นมาทำโฆษณาที่ตรงใจ แต่หากการวิจัยคีย์เวิร์ดพบว่าคำสืบค้นมีการเปลี่ยนความนิยมไปจากเดิม ตามเทรนด์หรือกระแสแฟชั่น งาน SEM ก็มีความยืดหยุ่นและรวดเร็วในการปรับเปลี่ยนคีย์เวิร์ดในการโฆษณาสูงกว่า SEO และจะเห็นผลลัพธ์ที่ตามมาจากการเปลี่ยนคีย์เวิร์ดเร็วกว่า SEO

ต้องรู้ของ SEO และ SEM

หวังว่าทั้ง 4 ข้อข้างต้นที่นำเสนอไป จะเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์และเลือกจ้างบริษัทที่มีประสบการณ์ในการทำ SEO และ SEM เพื่อให้ธุรกิจคุณเติบโตได้อย่างงดงามในโลกออนไลน์ต่อไป

ทำไมจึงกล่าวว่า SEO เป็นหัวใจของธุรกิจออนไลน์

ทำไมจึงกล่าวว่า SEO เป็นหัวใจของธุรกิจออนไลน์

SEO หรือ search engine optimization เป็นสิ่งที่เปรียบได้กับหัวใจของการทำเว็บไซต์ในวงการธุรกิจออนไลน์เลยทีเดียว เนื่องจากเป็นตัวแปรสำคัญที่ใช้ในการค้นหาด้วย search engine ชื่อดังต่าง ๆ ไม่ว่า google yahoo ที่คนทั่วโลกนิยมใช้ในการสืบค้นข้อมูลทุกประเภทในโลกอินเตอร์เน็ต การทำ SEO จึงต้องใส่ใจทั้งส่วนเนื้อหา หรือ content ในเว็บไซต์และส่วนงานโครงสร้าง หรือ site structure รวมถึงการเชื่อมต่อหรือ backlink อย่างมีคุณภาพ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คุ้มค่ากับการลงทุนด้านเงินและเวลาในการทำ SEO

สำหรับข้อดีหรือคุณประโยชน์ของการทำ SEO ที่ไม่มีใครปฏิเสธได้คือ จะทำให้การนำเสนอเว็บไซต์ของสินค้าและบริการมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเป้าหมายที่กำลังต้องการซื้อ หรือมองหาสิ่งที่ตอบโจทย์หรือแก้ปัญหาในขณะนั้น ๆ ได้อย่างตรงจุด เนื่องจากการทำ SEO จะมีการระบุคีย์เวิร์ดที่ตรงกับลักษณะสินค้าและบริการมากที่สุด จึงให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการฝากประกาศหรือโฆษณาที่มีความจำเพาะต่อกลุ่มเป้าหมายน้อยกว่า ซึ่งต้องยอมรับว่าการแข่งขันทางธุรกิจในภาวะเศรษฐกิจอย่างปัจจุบัน จำเป็นต้องช่วงชิงจังหวะ หรือภาษาง่าย ๆ คือ ใครที่เข้าถึงลูกค้าได้ก่อนย่อมได้เปรียบ การทำ SEO จึงช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้ได้

SEO หัวใจของธุรกิจออนไลน์

สำหรับค่าใช้จ่ายในการทำ SEO โดยทั่วไปจะอยู่ที่หลักพันบาทต่อเดือน โดยควรพิจารณาเลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ ด้วยการขอดูผลงานเก่า ๆ หรือรายงานความพึงพอใจที่ผ่านมาของลูกค้าบริษัทก่อนที่จะทำสัญญาว่าจ้างทำ SEO เนื่องจากงานการปรับปรุงเว็บไซต์ให้เข้าสู่ระบบการสืบค้นสากล ที่มีประสิทธิภาพในการขึ้นเป็นอันดับท็อปไฟฟ์หรือท็อปเท็น ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ จำเป็นต้องมีทีมที่เชี่ยวชาญด้าน SEO ทั้งส่วน on-page และ off-page ในการดูแลอย่างต่อเนื่องเพื่อป้อนข้อมูลเข้าสู่ระบบวิเคราะห์ของ search engine ดังนั้นจะเห็นได้ว่าคอร์สรับทำ SEO มักจะมีระยะเวลาในสัญญาระบุไว้เป็นช่วงยาวหลายเดือนหรือเป็นสัญญาปีต่อปี เพื่อให้ได้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุด

ระยะเวลารอคอยให้เห็นผลลัพธ์จากการทำ SEO ยังต้องขึ้นกับประเภทธุรกิจด้วย กล่าวคือ หากเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูงในภาคเอกชน เช่น การขายทัวร์ท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ การขายคอร์สดูแลความงามของคลีนิคผิวพรรณ ฯลฯ มักจะมีการจ้างงานบริษัททำ SEO ที่มีความเป็นมืออาชีพอันดับต้น ๆ ของวงการสื่อออนไลน์ จึงทำให้การแข่งขันด้วยการสร้าง content ใหม่ ๆ และการอัพเดตดาต้าในเว็บไซต์ของบริษัทคู่แข่งอื่น ๆ จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาในการนำเข้าสู่ระบบ algorithm หรือระบบวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเทคนิคของ search engine นั่นเอง

SEO จึงเปรียบได้กับอวัยวะสำคัญ อย่างหัวใจ ที่ส่งผลต่อการเติบโตของยอดขายและกำไรของธุรกิจ และยังช่วยให้การกำหนดทิศทางพัฒนาหรือแก้ไขจุดบกพร่องของธุรกิจมีความเด่นชัดยิ่งขึ้นด้วย

SEO เป็นหัวใจของธุรกิจออนไลน์

จ้างทำ SEO อย่าเน้นที่ราคาถูกเท่านั้น

การทำ SEO เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับนักธุรกิจออนไลน์ เนื่องจากเป็นการประชาสัมพันธ์ร้านค้าให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างดีที่สุด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือก Location ที่ดีที่สุด สำคัญต่อร้านอย่างยิ่ง เนื่องจากส่งผลต่อยอดขายและกำไรของธุรกิจอย่างชัดเจน หากคุณมีสินค้าดี แต่ไม่สามารถทำให้ลูกค้ารู้ได้ว่ายังมี ของดี อยู่ตรงนี้ ก็จะทำให้ เสียโอกาส และ ชวด ลูกค้าไปให้คู่แข่ง ซึ่งเรียกได้ว่า เสียหายหลายแสน ยิ่งกว่า การเสียค่าจ้างทำ SEO อย่างแน่นอน ซึ่งการทำ SEO ที่บางคนอาจเคยเห็น คือ การแทรก keyword ลงในบทความคุณภาพ ซึ่งจำเป็นต้องใช้คีย์เวิร์ดที่มีความสัมพันธ์กับสินค้าและบริการที่ธุรกิจคุณทำและต้องมีเนื้อหาที่ให้สาระเพียงพอแก่ลูกค้า ไม่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเสียเวลา เสียค่าเน็ตโดยเปล่าประโยชน์

การทำ SEO ไม่ใช่ใครก็ได้

ทั้งนี้ ในการทำ SEO ไม่ใช่ว่าจะจ้างใครทำก็ได้ เพราะเมื่อลอง search หาตามกูเกิ้ล search engine สุดฮิตของคนไทย ก็ยังพบว่า รับทำบทความ SEO ราคาถูก มาแข่งด้านราคากันอยู่ แลดูไม่ต่างจากร้านค้าที่แข่งกันลดราคา ซึ่งหากผู้ซื้อไม่ใส่ใจว่าคุณภาพของสินค้า หรือ บทความจะมีความน่าดู น่าอ่านเพียงใด ก็ย่อมส่งผลประสิทธิผลที่ตามมาจากการลงทุนจ้างที่เสียเปล่าอย่างไม่ต้องคาดเดา

หากเป็นอดีต สัก 10 ปีที่แล้ว การจ้างงานบริษัทใหญ่ ๆ ที่รับทำ SEO จะเป็นที่นิยมมาก เพราะสามารถการันตีปริมาณ หรือจำนวนบท / หน้า และการแลกลิ้งค์ เพื่อสร้าง Blacklink ที่ทำให้ search engine เข้าใจหรืออนุมานว่าเกิดจากการนิยมแชร์บอกต่อ ๆ ของลูกค้า แต่ปัจจุบัน เนื้อหาที่มีคุณภาพและการใช้ภาษาที่สื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงใจ มีความสำคัญยิ่งกว่าหลายเท่าตัว เนื่องจากเทรนด์การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเลือกดูข้อมูล การตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการของคนยุค millennial หรือ ปัจจุบันก็อยู่ในช่วงวัย 18 – 34 ปี ไม่เหมือนคนยุคเก่าอีกแล้ว

การใช้ภาษาที่แสดงถึงความจริงใจ ซื่อสัตย์ สมเหตุสมผล ไม่โฆษณาอย่าง hardcore โจ่งแจ้ง มีความสำคัญเช่นเดียวกับเนื้อหาที่ต้องมีความแน่นหนักชัดเจนของความถูกต้องและเชื่อถือได้จริง หากมีการอ้างอิงตามหลักวิชาการก็จะยิ่งเป็นผลบวกต่อธุรกิจที่ขายสินค้าทางด้านสุขภาพ เช่น อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือแม้แต่กลุ่มสินค้าการกีฬา ก็ยังจำเป็นต้องเลือกผู้เขียนที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เช่น แพทย์ เภสัชกร วิทยาศาสตร์การกีฬา หรือ ผู้ที่มีประสบการณ์เล่นกีฬาจริง ๆ จึงจะได้ content SEO ที่ เข้าถึง ผู้อ่านได้จริง

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO ไม่ใช่ใครหรือบริษัทไหนก็รับทำ SEO ที่ให้ผลงานถูกใจเหมาะกับธุรกิจคุณได้ หากคุณเน้นเรื่องคุณภาพบทความ SEO และภาพลักษณ์ของธุรกิจ (หากคุณเน้นเรื่องปริมาณ ก็สามารถใช้โมเดลแบบเดิม ๆ ได้)

จ้างทำ SEO อย่าเน้นที่ราคาถูกเท่านั้น

ความแตกต่างของการทำ SEO แบบ On-page และ Off-page

การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอับดับในการค้นหาหน้าแรก ๆ ของ Google ก่อนอื่นต้องทำความเข้าถึงความแตกต่างของการทำ SEO แบบ On-page และ Off-page เพื่อรู้เป้าหมายว่าควรทำแต่ละอย่างอย่างไร เกิดความชัดเจนและทำควบคู่กันไปได้โดยไม่สับสน ก่อนอื่นมารู้จักการทำ SEO รูปแบบ On-page หมายถึงการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์เพื่อตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการมากที่สุด โดยเริ่มจากการออกแบบโครงสร้างที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อนหรือมีจำนวนหน้ามากเกินไป ซึ่งอำนวยความสะดวกให้ค้นหาสิ่งที่ต้องการพบอย่างรวดเร็ว ไม่เสียเวลานาน

ทำความเข้าใจกับการใช้คีย์เวิร์ดเป็นสิ่งสำคัญ

สิ่งสำคัญคือควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้คีย์เวิร์ด การกำหนดคีย์เวิร์ดต้องเลือกคำที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นคำทั่วไปเพื่อเจาะเป้าหมายในวงกว้าง หรือคำเฉพาะและคำขยายที่จับตลาดลูกค้าเป้าหมายโดยตรง เมื่อได้คำที่เหมาะสมแล้วให้นำมาแทรกในบทความอย่างแนบเนียน ตั้งแต่ชื่อเรื่อง ในเนื้อหา รวมทั้งชื่อรูปภาพและวิดีโอด้วย เพื่อช่วยให้การค้นหาเว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกๆ ของ Google เพื่อสร้างโอกาสการเสนอขายสินค้าและบริการสู่สายตาผู้ชมจำนวนมาก ยิ่งสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากเท่าไรยิ่งมีโอกาสปิดยอดขายมากและเร็วขึ้นเท่านั้น

สำหรับการทำ SEO รูปแบบ Off-page แตกต่างออกไป โดยตัดเรื่องการค้นหาจากหน้า Google ออกไปก่อน หันมาพิจารณาประสิทธิภาพของเว็บไซต์จากปัจจัยภายนอก เช่น ความน่าเชื่อถือ , ความนิยมและความเห็นของผู้ใช้งาน สรุปว่าการทำ SEO แบบ Off-page เป็นฟีดแบ็กที่สะท้อนกลับมา ไม่เกี่ยวข้องกับการโพสต์บทความหรือปรับแต่งหน้าเว็บเลย เป้าหมายสำคัญคือการสร้างความน่าเชื่อถือ แสดงให้ผู้ชมเห็นว่ามีผู้ชมเข้ามาใช้บริการเว็บไซต์จำนวนมาก สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าพอใจเว็บนี้ พร้อมกับแสดงให้เห็นว่าตอบโจทย์ความต้องการได้มากขนาดไหน เช่น การใส่ Backlink จากเว็บไซต์อื่น ๆ เข้ามาในเว็บไซต์ของเรา วิธีการสร้างเครือข่ายจะต้องคัดเฟ้นเฉพาะเว็บที่มีคุณภาพเท่านั้นที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรกับเรา เท่ากับเป็นกระจกสะท้อนตัวเราว่ามีคุณภาพความน่าเชื่อถือระดับไหน สิ่งนี้สำคัญต่อการทำธุรกิจออนไลน์ ถ้าลูกค้าไม่เชื่อมั่น การตัดสินใจซื้อจะเป็นไปได้ยาก

ทำความเข้าใจกับการใช้คีย์เวิร์ดเป็นสิ่งสำคัญ

นอกจากเว็บพันธมิตรต้องมีคุณภาพแล้ว ยังต้องมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณด้วย เพราะถ้าดึงเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องมาลิงก์ด้วย ทาง Google จะพิจารณาว่าเป็นลิงก์ที่ไม่เกิดประโยชน์และไม่ให้น้ำหนักความสำคัญในการจัดอันดับ ซ้ำร้ายการทำ SEO ที่ผิดวิธี ทั้งการลิงก์เว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องและการกระหน่ำใส่คีย์เวิร์ดลงในบทความมากเกินไปจนอ่านไม่รู้เรื่อง ทำให้ถูกมองว่าเป็นสแปมและถูกลงโทษจาก Google ไม่ให้เว็บอยู่ในการจัดอันดับชั่วคราว การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ค้นหาสิ่งที่ต้องการรวดเร็ว ใช้เวลาโหลดไม่นาน มีความสะดวกและปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากขึ้น ทั้งหมดนี้ทำได้ไม่ยากเพียงแต่ต้องเข้าใจหลักการทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรก เขียนเนื้อหาบทความที่ดีเป็นแบบที่ผู้อ่านชอบและใส่คีย์เวิร์ดลงไปเท่าที่จำเป็น

ค้นพบเว็บง่ายขึ้น ต้องเก่งการเขียน Meta description

เมื่อคุณเปิดเว็บไซต์ขึ้นมาเพื่อหวังผลทางธุรกิจ ต้องการให้คนรู้จักแบรนด์ รู้ว่าเว็บนี้ทำอะไร มีอะไร ขายราคาเท่าไร ต้องจัดทำรายการลงข้อมูลรายละเอียดในเว็บไซต์ให้คนรู้จักดีขึ้น นั่นหมายถึงการทำ Meta Description เป็นการเขียนคำอธิบายแบบรวบรัด สรุปข้อมูลโดยรวมของเว็บไซต์อย่างสั้น กระชับ ได้ใจความ มีประโยชน์ต่อผู้ค้นหาซึ่งอ่านแล้วเข้าใจได้ทันทีว่าเป็นเว็บไซต์ที่ตรงกับสิ่งที่ต้องการหรือไม่ นับว่ามีประโยชน์ต่อการทำ SEO อย่างมาก ช่วยดึงดูดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้บริการมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ดีมี 2 ด้าน ด้านแรกคือทำให้ลูกค้าเป้าหมายเข้ามาอุดหนุนสินค้าและบริการของคุณมากขึ้น มียอดขายและผลกำไรสูงขึ้น ถึงแม้ผู้ใช้บางรายเข้ามาแล้วไม่เลือกซื้อ ก็ยังมีผลดีอีกด้านคือเพิ่มจำนวนผู้เข้าชม ทำให้เว็บเข้าไปอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นใน Google และกลายเป็นที่รู้จักแพร่หลายยิ่งขึ้น

Search Engine หลายผู้ให้บริการ ให้คะแนน Meta Description

เมื่อเห็นความสำคัญของการทำ Meta Description แล้ว ต่อไปจะเป็นภาคปฏิบัติ คุณต้องฝึกฝนให้ชำนาญว่าจะเขียนอย่างไรให้ได้เนื้อหาที่กระชับและโดนใจผู้อ่าน เรียกว่าอ่านแล้วดึงดูดใจให้อยากอ่านต่อเพื่อเรียนรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์ จึงคลิกเข้ามาดูเว็บไซต์ในทันที แต่ไม่ใช่ลักษณะคลิกเบท โดยปกติการใส่คีย์เวิร์ดในบทความอย่างแนบเนียนเป็นการทำ SEO อยู่แล้ว การทำ Meta Description จะเข้ามาเป็นตัวเสริมให้ผู้อ่านเข้าถึงเนื้อหาในเว็บเร็วขึ้น

ทั้งนี้ คำอธิบาย Meta Description ควรมีเอกลักษณ์ เพราะถ้าเขียนเหมือนกับคำแนะนำในหน้าเว็บอื่น ๆ จะไม่ได้รับความสนใจจากดัชนีการจัดอันดับของ Google ถือว่าไม่ได้เสริมสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต แม้ว่าชื่อของหน้าเว็บจะแตกต่างกันไป แต่ถ้าคำอธิบายทั้งหมดเหมือนกัน ทำไปก็เสียเวลาเปล่า คุณสามารถใช้ประโยชน์จาก Google Webmaster Tools คลิกเข้า HTML Improvements หรือใช้ Screaming Frog SEO Spider เพื่อเพื่อตรวจสอบคำอธิบายที่ซ้ำกันและปรับแต่งใหม่ให้โดดเด่นกว่าเว็บอื่นได้

เกณฑ์การเขียนคำอธิบาย Meta Description มีได้สูงสุด 155 ตัวอักษร บางครั้งอาจถูกตัดสั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ Google เพิ่มลงในผลการค้นหา เช่น อาจเพิ่มวันที่ลงในบทความ ซึ่งจะลดจำนวนอักษรที่พร้อมใช้งาน นอกจากนี้ Google ยังปรับเปลี่ยนความยาวทุก ๆ คราว เขียนให้กระชับไว้ก่อนปลอดภัยกว่า ควรมีคำกระตุ้นการตัดสินใจ เช่น “ด่วน” “ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่คุณต้องการ” “ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม” ถ้ามีผลิตภัณฑ์สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ ๆ มุ่งเน้นไปที่รายละเอียดทางเทคนิค เขียนอธิบายให้เข้าใจง่าย ราคาถูก ทำให้เกิดความสนใจและคลิกเข้าเว็บไซต์โดยเร็ว

ย่อหน้าแรกของเนื้อหา ควรใส่ใจเป็นพิเศษ

ขณะเดียวกันผู้เขียนบทความควรให้ความสำคัญกับย่อหน้าแรกของคอนเทนต์ โดยเฉพาะ 155 ตัวอักษรแรก ควรสอดแทรกคีย์เวิร์ดหลักรวมอยู่ด้วย ถือเป็นเรื่องจำเป็น ทุกครั้งที่จะเขียนบทความ ควรใส่คีย์เวิร์ดหลักในย่อหน้าแรกอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าหาก Google ไม่พบการทำ Meta description อยู่ในบทความ จะดึงข้อความในย่อหน้าแรกไปแสดงผลบนการค้นหาแทน การใส่มีคีย์เวิร์ดไว้ทั้งในย่อหน้าแรกหรือในคำอธิบายเนื้อหาย่อมเป็นสิ่งที่ดีและช่วยให้เว็บติดอันดับดีขึ้นเรื่อยๆ

โปรโมทเว็บด้วยการทำ SEO และ SEM

ทุกวันนี้ผู้ประกอบธุรกิจสนใจทำเว็บไซต์กันมาก แต่เว็บไซต์ของกลุ่มสตาร์ทอัพยังคงเงียบเหงา อยากจะซื้อโฆษณาก็ติดขัดเรื่องต้นทุนสูงเกินงบประมาณที่ตั้งไว้ เห็นใครๆ คุยกันเรื่องการทำSEOเพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาในหน้าแรกๆ ของกูเกิ้ล พอเข้ามาศึกษาหาความรู้แล้วสะดุดกับคำว่า SEM เข้าอีก เริ่มสับสนว่าอะไรเป็นอะไร ต้องการคำแนะนำที่เข้าใจง่ายๆ ว่ามีวิธีอะไรที่นักธุรกิจมือใหม่ควรทำเพื่อช่วยโปรโมทเว็บไซต์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น สามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย เพิ่มยอดขายเพื่อขยายฐานลูกค้าให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ

การโปรโมทในลักษณะการทำSEO จะเป็นการไต่ลำดับในกูเกิ้ลแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากดึงดูดผู้ชมเข้ามาจำนวนมากขึ้น รอเวลาให้ผู้บริโภคพิจารณาและตัดสินใจเลือกซื้อ ยิ่งมีคนเข้ามาเห็นมากเท่าไร ยิ่งมีโอกาสเพิ่มยอดขายให้มากขึ้น ในส่วนของวิธีการนั้น มาเริ่มทำความรู้จักSEOกันก่อน ย่อมาจากคำว่า “Search Engine Optimization” หมายถึงวิธีเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาในเสิร์จเอนจิ้น ในทีนี้จะใช้ Google เป็นหลักเพราะถือเป็นแหล่งค้นหายอดนิยมทั่วโลก แต่ความจริงยังมีเสิร์จเอนจิ้นจำนวนมากที่ใช้ค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ อย่างเช่น Yahoo, Bing, Ask เป็นเสิร์จเอนจิ้นที่ใช้กันแพร่หลายในสหรัฐ Baidu ของจีน Yandex ของรัสเซียหรือ Nave ของเกาหลี เหตุผลที่อ้างอิงกูเกิ้ลเพราะในบ้านเราใช้กันเป็นตัวหลักในการค้นหา

หัวใจสำคัญของ คีย์เวิร์ด

หัวใจสำคัญคือการใช้คีย์เวิร์ด ซึ่งเป็นคำค้นหาของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต ในกรณีที่ร้านเราขายคอมพิวเตอร์ เมื่อมีคนค้นหาคำว่า “คอมพิวเตอร์” จะพบเว็บไซต์ของร้านขายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เต็มไปหมด เราจะต้องเพิ่มคีย์เวิร์ดให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น เช่น “คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ” “คอมพิวเตอร์ มือสอง” “คอมพิวเตอร์ ราคาถูก” จะทำให้เว็บไซต์ของเราติดอันดับสูงตรงกับคำค้นหาของลูกค้า คำคีย์เวิร์ดเหล่านี้จะเข้าไปอยู่ในคอนเทนต์หรือบทความที่เราเขียนลงในเว็บไซต์ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์ ทำให้รู้สึกว่าน่าอ่านและเรียกคนเข้ามาติดตามอย่างต่อเนื่อง สรุปคร่าวๆ ว่า SEO เป็นช่องทางเรียกลูกค้าเข้าร้านแบบสร้างกระแส โดยหากอยากให้ประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจ ตัวสินค้าเองจะต้องมีคุณภาพดีจึงจะจูงใจให้กลับเข้ามาซ้ำอีก

SEO มากกว่าที่คุณคิด

มาถึง SEM มาจากคำว่า “Search Engine Marketing” เป็นการจ่ายค่าโฆษณาโดยคำนวณจากจำนวนคนที่คลิกเข้ามาในเว็บไซต์ โดยค่าโฆษณาขึ้นอยู่กับ คีย์เวิร์ด ถ้าหากเป็นคำที่ใช้กันทั่วไปอย่าง “คอมพิวเตอร์” ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้ทั่วโลก จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าคำว่า “คอมพิวเตอร์ มือสอง” เพราะการแสดงผลจากจำกัดวงแคบเข้า ทำให้ได้ลูกค้าตรงกลุ่มเป้าหมายที่สุด การทำ SEM มีค่าใช้จ่ายเป็นรายคลิก ส่วนการทำ SEO ถ้าพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์มือใหม่จ้างทีมงานเข้ามาทำการตลาดเพื่อเพิ่มอันดับของเว็บไซต์ เปรียบเทียบเรื่องที่ต้องจ่ายเงินทั้งคู่แล้ว การทำ SEM จะคุ้มค่ากว่าเพราะมีประสิทธิภาพและตรงเป้าหมาย หรือถ้าเป็นไปได้ ทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป จะช่วยเพิ่มทั้งยอดผู้ใช้เว็บไซต์และโอกาสในการขายสินค้าและบริการมากยิ่งขึ้น

“Keyword” หัวใจหลักในการทำเงินจากเว็บไซต์

เราจะรู้จักการคัดเลือก Keyword ที่ดีก็ต่อเมื่อ เรามีความเข้าใจในเรื่องของ SEO ดังนั้น ผู้ที่เพึ่งริเริ่มการหัดทำเว็บไซต์ให้มีอันดับในหน้าแรกของผลการค้นหา จึงควรศึกษาเรื่องของพื้นฐาน SEO ทั้งหมดโดยรวมอย่างเข้าใจ หากเราเข้าใจแล้วเราจึงจะมาเลือกคีย์เวิร์ดและเริ่มทำไปด้วยกัน สาเหตุที่ต้องทำความเข้าใจกับ SEO ก่อนนั้น เราจะได้รู้จักการวิเคราะห์ว่าในคีย์เวิร์ดไหนมีการแข่งขันสูง ในคีย์ไหนที่มีการแข่งขันต่ำ เราสามารถเอาชนะในเรื่องของออนเพจและออฟเพจคู่แข่งไปได้หรือไม่

ปัจจุบัน เราสามารถดูสถิติปริมาณค้นหาได้จาก Google Adword เป็นหลัก แต่การจะเลือกเฉพาะคำค้นหาที่มีปริมาณค้นหาสูงอย่างเดียวมันคงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ยิ่งปริมาณค้นหาสูงส่วนมากการแข่งขันก็จะสูง และหากเราไม่มีทุน ไม่มีแรง ไม่มีกำลังมากพอที่จะมานั่งแข่งขันกับเว็บใหญ่ระดับนั้น การที่เราไปนั่งเล่นคีย์แข่งขันสูงคงดูจะไม่คุ้มทุนสักเท่าไหร่ เราอาจจะต้องเลือก Nich Keyword ที่สามารถทำเงินได้แต่การแข่งขันต่ำแทน

คีย์เวิร์ดรอง แหล่งทำเงินของนักทำ SEO

seo

นิชคีย์เหล่านี้จะมีอยู่เป็นจำนวนมาก และเราสามารถทำได้หลายคีย์ภายในเว็บเดียวกัน นั่นหมายความว่าหนึ่งเว็บไซต์ ยิ่งทำนิชคีย์เยอะมากเท่าไหร่ โอกาสทำเงินของเราก็จะมากยิ่งขึ้นโดยที่ไม่ต้องไปเหนื่อยเกินกำลังเหมือนกับการแข่งขันในคำค้นหาที่มีการแข่งขันสูงเลยนั่นเอง แต่ในทางกลับกัน เพชรเม็ดงามยังมีอยู่เสมอ บางครั้งเมื่อเราฝึกการหา Keyword และการวิเคราะห์คู่แข่งอย่างชำนาญแล้ว เราอาจจะเจอคำที่มีปริมาณค้นหาเยอะแต่การแข่งขันต่ำมากก็เป็นไปได้เช่นเดียวกัน นี่เป็นเรื่องจริง

ทุกวันนี้คนที่มีรายได้หลาย 1,000,000 ต่อเดือนจากการทำ SEO เค้าเหล่านี้มักจะสามารถทำอันดับเว็บไซต์ของตัวเองให้ติดอยู่ในอันดับแรกของผลการค้นหา ในปริมาณที่มีคู่แข่งต่ำแต่ แต่มีปริมาณค้นหาต่อเดือนสูง การทำแบบนี้เราไม่ต้องใช้คนเยอะ ไม่ต้องใช้กำลังเยอะ ดีไม่ดีทำคนเดียวก็ยังทำไหว แถมทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ต่างจากการแข่งขันในคำมีคู่แข่งสูง ค้นหาสูง มันต้องใช้ทั้งทุนและกำลังเข้ามาช่วย ทำให้ท้ายที่สุดก็ต้องวัดกันว่าจะขาดทุนหรือกำไร นี่คือหัวใจในการนำเว็บไซต์ โอกาสทำเงินได้ย่อมมีสูงขึ้น

Tags “H” สำคัญมากนะบอกให้

โดยทั่วไปแล้วในหนังสือแต่ละเล่มที่มีบทความให้เราได้อ่านข้อมูลต่างๆนั้น ส่วนมากนอกจากจะมีหัวข้อเรื่อง ก็จะมีหัวข้อรองต่างๆปนอยู่ในบทความด้วย ยิ่งบทความยาวมากเท่าไหร่ จำนวนหัวข้อย่อยๆก็จะมีเยอะมากเท่านั้น มันเป็นการจัดลำดับความสำคัญของส่วนเนื้อหาให้ผู้อ่านได้ทำความเข้าใจได้อย่างลงตัว หากว่าเนื้อหามีความยาวค่อนข้างเยอะ สมมุติว่ายาวเต็มหนึ่งหน้ากระดาษ A4 หากว่าไม่มีหัวข้อย่อยเลย มีแต่หัวข้อหลัก และในบทความนั้นมีเรื่องราวหลากหลายปนกันอยู่ในบทความเดียวกัน เชื่อได้ว่าผู้อ่านส่วนใหญ่ก็อาจจะเกิดความสับสนแถมเวลาจะกลับมาอ่านย้ำอีกทีก็จะไล่ไม่ค่อยถูกนัก

หัวข้อย่อยๆจึงมีส่วนสำคัญที่จะเป็นตัวกำหนดว่า หากผู้อ่านต้องการจะกลับมาอ่านย้อนหลังในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ในส่วนใดส่วนหนึ่งของเนื้อหา ก็เพียงแค่จำหัวข้อย่อยของส่วนเนื้อหานั้นเอาไว้แล้วก็กลับมาอ่านซ้ำในจุดนั้น มันจะง่ายกว่าการที่จะต้องมาไล่สุ่มหาจุดที่เราต้องการอ่านซ้ำอีกครั้งจากตัวเนื้อหาโดยปราศจากหัวข้อย่อยๆนั่นเอง

บทความในเว็บไซต์ต้องมีหัวข้อด้วย

หัวข้อ

ในทางการทำเว็บไซต์นั้น หัวข้อย่อยๆเหล่านี้รวมไปถึงหัวข้อหลักก็มักจะถูกแทนที่ด้วย Tags H ซึ่งหากว่าบทความของเรานั้นไม่มี Tags H ปนอยู่เลย รับรองได้ว่าการทำ SEO จะทำยากมากกว่าเดิม ปัจจุบัน CMS WordPress ซึ่งเป็นที่ได้รับความนิยม จะมีการใส่ H1 ให้กับหัวข้อหลักเป็นที่เรียบร้อย นอกจากบาง Theme อาจจะย่อยเป็น H2 แทน H1 นอกจากนี้ ในตัวบทความ เจ้าของเว็ปที่จะลงเนื้อหานั้นก็สามารถใส่แท็ก H2 H3 H4 เพื่อเป็นหัวข้อย่อยๆต่างๆที่อยู่ในบทความได้

การมีหัวข้อย่อยๆเหล่านี้จะช่วยให้การทำ SEO ในหน้าเว็บเพจนั้นทำได้ง่ายยิ่งขึ้น เพราะมีตัวบ่งบอกเสิร์จเอนจิ้นว่าบทความของเรามีการแบ่งวรรคแบ่งส่วนกันอย่างชัดเจน ไม่ทำให้ผู้อ่านเกิดความสับสน ค่าคะแนนสกอร์ SEO Onpage ก็จะดีตามไปด้วย นี่คือหลักการ OnPage จำไว้ว่า Tags H มีความสำคัญเกี่ยวกับการทำ SEO Onpage เป็นอย่างมาก แต่ละบทความควรจะมี Tags H อย่างน้อยหนึ่งอัน ถ้ากลัวว่าลืมใส่ ก็ใช้ WordPress มาเป็นตัวช่วยสร้างเว็บดูสิ