การทำ SEO มีกี่แบบ

วิธีทั่วไปในการจัดหมวดหมู่ SEO แบ่งออกเป็นสองกลุ่มหลัก

1. โดยมุ่งเน้นหลัก

SEO บนเพจ: SEO ในหน้าหมายถึงการเพิ่มประสิทธิภาพองค์ประกอบต่างๆ บนเว็บไซต์เพื่อปรับปรุงการมองเห็นและความเกี่ยวข้องกับเครื่องมือค้นหา ซึ่งรวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา เมตาแท็ก ส่วนหัว รูปภาพ โครงสร้าง URL และการเชื่อมโยงภายใน

SEO นอกเพจ: SEO นอกเพจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่เกิดขึ้นภายนอกเว็บไซต์ แต่ยังคงส่งผลกระทบต่อการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา ซึ่งรวมถึงการสร้างลิงก์ย้อนกลับจากแหล่งที่มีชื่อเสียง การตลาดบนโซเชียลมีเดีย การเผยแพร่ผ่านอินฟลูเอนเซอร์ และความพยายามส่งเสริมการขายภายนอกอื่นๆ

SEO ทางเทคนิค: SEO ทางเทคนิคมุ่งเน้นไปที่ด้านเทคนิคของเว็บไซต์เพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องมือค้นหาสามารถรวบรวมข้อมูลและจัดทำดัชนีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเพิ่มประสิทธิภาพความเร็วของเว็บไซต์ ความเหมาะกับมือถือ สถาปัตยกรรมเว็บไซต์ และการจัดการปัญหาต่างๆ เช่น ลิงก์เสีย เนื้อหาที่ซ้ำกัน และการเพิ่มประสิทธิภาพแผนผังเว็บไซต์ XML

SEO ทั้งสามประเภทนี้ทำงานร่วมกันเพื่อปรับปรุงการมองเห็นเว็บไซต์ในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) และปรับปรุงสถานะออนไลน์โดยรวม เป็นสิ่งสำคัญสำหรับกลยุทธ์ SEO ที่ครอบคลุมเพื่อจัดการกับประเด็นเหล่านี้ทั้งหมด

2. ตามช่องเฉพาะ

SEO ท้องถิ่น: การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการค้นหาในท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ของคุณ

SEO อีคอมเมิร์ซ: ปรับแต่งแนวทางของคุณสำหรับร้านค้าออนไลน์และหน้าผลิตภัณฑ์

SEO บนมือถือ: มุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ผู้ใช้และการมองเห็นบนอุปกรณ์มือถือ

SEO ระหว่างประเทศ: การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับภาษาต่างๆ และเครื่องมือค้นหาระดับภูมิภาค

Content SEO: การสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงที่ดึงดูดผู้ใช้และเครื่องมือค้นหา

วิดีโอ SEO: การเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหาวิดีโอสำหรับการค้นหาและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้

News SEO: การเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับเนื้อหาที่ต้องคำนึงถึงเวลาและผู้รวบรวมข่าวสาร

การเพิ่มประสิทธิภาพ App Store (ASO): การเพิ่มประสิทธิภาพแอปมือถือเพื่อให้มองเห็นได้ใน App Store

ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังแบ่งหมวดหมู่เหล่านี้ออกเป็นประเภทที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น “SEO รูปภาพ” หรือ “SEO ค้นหาด้วยเสียง” ท้ายที่สุดแล้ว ประเภทที่สำคัญที่สุดสำหรับคุณจะขึ้นอยู่กับเป้าหมายเฉพาะและกลุ่มเป้าหมายของคุณ

จุดอ่อนของการทำ seo

SEO มีจุดอ่อนของตัวเอง เช่นเดียวกับกลยุทธ์ทางการตลาดอื่นๆ นี่คือจุดอ่อนที่พบบ่อยที่สุดของ SEO

1.ต้องใช้เวลาจึงจะเห็นผล SEO ไม่ใช่วิธีแก้ไขด่วน ต้องใช้เวลาและความพยายามในการปรับปรุงอันดับเว็บไซต์ของคุณใน SERP คุณควรคาดว่าจะเห็นผลภายใน 6 ถึง 12 เดือน แต่อาจใช้เวลานานกว่านั้น

2.ไม่รับประกันการทำงาน ไม่มีการรับประกันว่า SEO จะทำงานให้กับเว็บไซต์ของคุณ ความสำเร็จของแคมเปญ SEO ของคุณขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ รวมถึงความสามารถในการแข่งขันของกลุ่มเฉพาะของคุณ คุณภาพของเนื้อหาของคุณ และระยะเวลาและความพยายามที่คุณยินดีทุ่มเท

3.มันเป็นกระบวนการที่กำลังดำเนินอยู่ SEO ไม่ใช่เรื่องครั้งเดียว คุณต้องเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์และเนื้อหาของคุณอย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาอันดับของคุณใน SERP อาจใช้เวลานานและมีราคาแพง

4.เป็นการยากที่จะติดตามผลลัพธ์ การติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญ SEO ของคุณอาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่อาจส่งผลต่ออันดับของคุณใน SERP และอาจเป็นเรื่องยากที่จะแยกผลกระทบของ SEO ออก

5.มันสามารถถูกลงโทษโดยเครื่องมือค้นหา หากคุณใช้เทคนิค SEO หมวกดำ เว็บไซต์ของคุณอาจถูกลงโทษโดยเครื่องมือค้นหา ซึ่งอาจส่งผลให้เว็บไซต์ของคุณถูกเพิกถอนจาก SERP ซึ่งอาจส่งผลร้ายแรงต่อธุรกิจของคุณ

แม้จะมีจุดอ่อนเหล่านี้ SEO อาจเป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพมากสำหรับธุรกิจออนไลน์ หากคุณยินดีสละเวลาและความพยายาม SEO สามารถช่วยให้คุณดึงดูดผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น เพิ่มโอกาสในการขายและยอดขาย และปรับปรุงชื่อเสียงของแบรนด์ของคุณ

เคล็ดลับในการลดจุดอ่อนของ SEO มีดังนี้

1.ตั้งความคาดหวังที่เป็นจริง อย่าหวังว่าจะเห็นผลในชั่วข้ามคืน

2.อดทนและแน่วแน่ SEO เป็นกระบวนการต่อเนื่อง

3.จ้างที่ปรึกษา SEO ที่มีประสบการณ์ พวกเขาสามารถช่วยคุณสร้างแคมเปญ SEO ที่ประสบความสำเร็จได้

4.ติดตามข่าวสารล่าสุดเกี่ยวกับเทรนด์ SEO ล่าสุด อัลกอริธึมของเครื่องมือค้นหามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องติดตามเทรนด์ล่าสุดอยู่เสมอ

5.ใช้เทคนิค SEO หมวกขาว เทคนิค Black hat SEO สามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกลงโทษโดยเครื่องมือค้นหา

6.ตรวจสอบประสิทธิภาพ SEO ของคุณ ใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics เพื่อติดตามผลลัพธ์ของแคมเปญ SEO ของคุณ

เมื่อปฏิบัติตามเคล็ดลับเหล่านี้ คุณสามารถลดจุดอ่อนของ SEO และเพิ่มประโยชน์สูงสุดให้กับธุรกิจของคุณได้

รวมเทคนิคการเขียนบทความแบบ SEO เพิ่มยอดผู้เข้าชม

การทำบทความ SEO ถือเป็นการโปรโมตหรือทำการตลาดออนไลน์ที่ใช้งบน้อยที่สุด ฉะนั้นหากใครที่กำลังจะเริ่มต้นทำเว็บไซต์หรือสินค้าชนิดใดก็ตาม ต้องการให้เป็นที่รู้จักในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะ Google ถือเป็นช่องทางที่เต็มไปด้วยผู้อ่านมากมายจากทั่วทุกมุมโลก ฉะนั้นลองศึกษาเรียนรู้การทำ SEO เพื่อช่วยให้คุณประหยัดงบลงไปอีก ไม่จำเป็นต้องจ้างนักเขียนบทความเลยล่ะ อยากรู้ไหมว่าต้องทำอย่างไรลองไปดูพร้อม ๆ กันเลย

1.เลือกใช้ Keyword ควรใช้ที่มีความเกี่ยวข้องกับสินค้าภายในเว็บและเขียนบทความออกมาอย่างมีคุณภาพ ถือเป็นการทำให้เว็บไซต์ติดมีการค้นหาข้อมูลเป็นอันดับต้น ๆ อย่างยั่งยืนและไม่โดน Google สแปม หากตรวจสอบว่าเนื้อหาเน้นไปที่การใส่ Keyword มากจนเกินไป โดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเว็บเลย 

2.ตั้งชื่อหัวข้อบทความให้น่าสนใจ แม้ว่าการเลือกเขียนบทความโดยใช้ SEO เข้ามาช่วย แต่นั้นยังไม่เพียงพอหากหัวข้อขาดความน่าสนใจ ฉะนั้นก่อนที่จะนำเสนอจะต้องคำนึงในส่วนนี้ด้วย

3.วางโครงสร้างบทความ เป็นสิ่งที่ทำให้บทความมีความน่าสนใจ โดยเริ่มต้นจะต้องจับประเด็นในสิ่งที่ต้องการนำเสนอและเรียงลำดับความสำคัญในแต่ละหัวข้อว่าจะเอาบทไหนขึ้นก่อน ซึ่งจะทำให้อ่านง่ายมากยิ่งขึ้น 

4.เริ่มลงมือเขียนบทความ ในช่วงเริ่มต้นเขียนบทความอาจจะเขียนไปตามอารมณ์ความรู้สึกไปก่อน เพราะจะทำให้คนอ่านเข้าถึง แต่ก็อย่าลืมว่าควรมีพัฒนาการด้วย เพื่อให้เป็นบทความคุณภาพ ซึ่งการเขียนจะต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ด้วย ดังนี้ 

  • จำนวนคำต้องมีตั้งแต่ 500 คำขึ้นไป 
  • เนื้อหาจะต้องแทรก Keyword เข้าไปในเนื้อหาตำแหน่งต่าง ๆ ในบทความ เช่น ย่อหน้าแรก, หัวข้อหลัก หัวข้อรอง แต่ที่เรากล่าวไปไม่จำเป็นต้องใส่ทุกหัวข้อก็ได้ หากมากเกินไปจะถูกจับด้วย Bot ของ Google จนในที่สุดถูกสแปม Keyword คือการปิดกั้นการมองเห็น

5.เลือกภาพเพื่อใส่ประกอบในเนื้อหา สิ่งนี้ถือว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะมีการสำรวจจาก skyword พบว่า บทความที่มีภาพตรงตามเนื้อหา จะมีคนเข้าดูมากถึง 94% ฉะนั้นควรให้ความสำคัญและควรมีคำบรรยายภาพที่มี Keyword ด้วยหรือที่เรียกว่าข้อความ Alt Text

เหตุผลที่บทความแบบ SEO ถึงติดอันดับ

หากอยากให้เว็บติดอันดับการค้นหาอันดับต้น ๆ จะต้องเลือกนำเสนอบทความที่ใช้รูปแบบ SEO โดยจะต้องมี Keyword ที่ได้รับการค้นหาบ่อยที่สุดมากระตุ้นให้เว็บของคุณได้รับความสนใจ และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมบทความรูปแบบ SEO จึงเป็นตัวช่วยสำคัญบนโลกออนไลน์ ฉะนั้นหากคุณอยากให้แบรนด์ติดตลาดหรือประสบความสำเร็จในเรื่องการเป็นที่รู้จักก็จะศึกษาเพิ่มเติมอีกครั้ง เพราะยังมีอีกหลากหลายปัจจัย ซึ่งคุณจะต้อศึกษาเพิ่มเติม 

5 เทคนิคในการทำ SEO สำหรับเว็บไซต์และช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ

สำหรับใครที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเองหรือกำลังดูแลเว็บไซต์ให้กับแบรนด์อยู่ก็ต่างต้องการเว็บไซต์ของเราขึ้นอยู่อันดับต้น ๆ ของการค้นหาบน Google วันนี้เราจะมาแนะนำเทคนิคการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับต้น ๆ ของการค้นหาเพื่อทำให้มีคนเข้ามาเยอะขึ้นและมีโอกาสขายของได้มากขึ้น จะมีเทคนิคอะไรบ้าง ตามไปดูกันเลย

1.คอนเทนต์มีคุณภาพ (Quality Contents)

สิ่งสำคัญที่สุด คือ เว็บไซต์ของคุณจะต้องมีคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ และยิ่งเป็นคอนเทนต์ที่มีความสดใหม่ก็ยิ่งดี ผู้คนส่วนใหญ่มักจะชื่นชอบคอนเทนต์ที่มีรูปภาพ และ Info-graphic ประกอบเพราะน่าอ่านและทำความเข้าใจง่าย นอกจากนี้การอัปโหลดคอนเทนต์ลงในบล็อกก็ช่วยเพิ่มคะแนนของเว็บไซต์หลักด้วย

2.ใช้ social media เพื่อโปรโมทเว็บไซต์

การทำให้คอนเทนต์จากเว็บไซต์ขึ้นฟีดบน social media อย่างสม่ำเสมอ สามารถทำให้อันดับเว็บไซต์ของเราดีขึ้นได้ด้วย อย่างแรกเราต้องรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายของเราคือใคร เพื่อหาช่องทางที่เหมาะสมในการสื่อสารกับลูกค้า  

การจ้าง Influencer หรือ คนดังที่มีผู้ติดตามเยอะ ๆ ช่วยโปรโมทเว็บไซต์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ

3.สร้างเว็บไซต์ที่เป็น Mobile Friendly

เราควรออกแบบเว็บไซต์ที่สามารถรองรับอุปกรณ์ได้หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ แท็บเล็ต และเดสก์ท็อปปัจจุบันผู้คนนิยมค้นหาข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์มือถือเป็นหลัก ดังนั้นหากต้องการให้อันดับเว็บไซต์ดีขึ้น ควรสร้างเว็บให้มีความเป็นมิตรกับการใช้งานบนสมาร์ทโฟน 

4.การเลือกใช้คีย์เวิร์ด

คีย์เวิร์ดเป็นสิ่งที่สำคัญมากของการทำเว็บไซต์ เพราะการเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมกับเว็บไซต์ จะช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้คนจะค้นหาแล้วเข้ามาเจอเว็บไซต์ของเราง่ายขึ้น สำหรับเว็บไซต์ที่เพิ่งเปิดได้ไม่นานควรใช้คีย์เวิร์ดที่มีจำนวนการค้นหาสูงแต่มีคู่แข่งน้อย ซึ่งทาง Google ก็มีตัวช่วยในการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด อย่าง google keyword planner สามารถใช้งานฟรีเพื่อช่วยให้เราเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่เหมาะสม 

5.ใส่ลิงก์เพื่อเพิ่มจำนวนการกดคลิก

เว็บไซต์ที่มีการลิงค์เนื้อหาภายในเว็บไซต์ไปยังเว็บไซต์อื่น รวมถึงมีการลิงก์จากเว็บอื่นมาที่เว็บไซต์ของคุณ มักจะได้รับคะแนนเว็บไซต์มาก ดังนั้นจึงควรแทรกลิงก์ไว้ในบทความ จะเป็นการแทรกลิงก์สินค้าไปยังหน้ารายละเอียดโปรโมชั่นก็ได้

ในยุคปัจจุบันนี้ผู้คนสามารถค้นหาทุกอย่างได้บนโลกออนไลน์ การสร้างเว็บไซต์จึงเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับธุรกิจ  แต่การมีเว็บไซต์นั้นยังไม่พอ ต้องมีคนเข้าชมเว็บไซต์ด้วย สำหรับใครที่กำลังมองหาเทคนิคในการทำ SEO ที่ดีให้กับเว็บไซต์อยู่ อย่าลืมนำ 5 เทคนิคที่เรานำมาฝากไปใช้ดูนะคะ

5 เรื่องที่ห้ามทำหากอยากทำ SEO ให้สำเร็จ

การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เน้นแค่เพิ่มปริมาณโดยไม่พิจารณาถึงกลยุทธ์ที่ถูกต้อง เพราะในความเป็นจริงแล้ว การทำ SEO ให้ได้ผลดีมีเรื่องที่ควรใส่ใจอยู่ไม่น้อย หลายอย่างเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่บางอย่างกลับเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เจ้าของธุรกิจที่เพิ่มลำดับการค้นหาบนโลกออนไลน์ให้ธุรกิจของตัวเองต้องรู้ว่าการตลาดแบบไหนที่ไม่ควรทำ เพราะทำแล้วนอกจากจะไม่สร้างประโยชน์อะไร ยังอาจส่งผลให้ถูกแบนจากผลการค้นหาอีกด้วย

  1. อย่ายัดเยียดคีย์เวิร์ด

การทำ SEO ต้องมีการศึกษาเรื่องคีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพ เลือกคำที่ใช้อย่างชาญฉลาด และเชื่อมโยงกับเนื้อหาทางธุรกิจอย่างสมเหตุสมผล ไม่ใช่ยัดเยียดคีย์เวิร์ดเข้าไปในเนื้อหาที่ไม่มีความเกี่ยวข้องหรือยัดเยียดคำมากจนเกินไป จนทำให้ภาพลักษณ์ต่อแบรนด์ในมุมมองของลูกค้าไม่น่าเชื่อถือ สิ่งที่ควรทำคือสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ตอบคำถามของลูกค้าและแทรกคำค้นหาเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ

  1. อย่าทำลิงก์มาจากภายนอกเว็บไซต์เท่านั้น

หลายคนอาจคิดว่าการทำ Off-page SEO ซึ่งหมายถึงการมีเว็บไซต์ภายนอกลิงก์มายังเว็บไซต์ของธุรกิจเป็นสิ่งที่ดี จึงเน้นการตลาดออนไลน์ไปแค่จุดนั้นเพียงอย่างเดียว จนทำให้เนื้อหาภายในเว็บไซต์ขาดมิติที่น่าสนใจไปไม่น้อย ถ้าอยากให้เว็บไซต์ดีและติดอันดับการค้นหา การทำ On-page SEO ด้วยการสร้าง Internal Links ภายในเว็บจัดเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน

  1. อย่าทำ Backlink มาแค่ที่ Homepage

แน่นอนว่าการทำลิงก์มาที่เว็บของธุรกิจเป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน แต่การจะทำ Backlink กลับมาที่เนื้อหาควรคำนึงถึงสิ่งที่คนกดเข้ามาดูในเว็บด้วย ลูกค้าควรเข้ามาเจอเนื้อหาที่เขาสนใจและสามารถตอบเรื่องคาใจของลูกค้าได้ ไม่ใช่กดเข้ามาเจอหน้า Homepage แล้วต้องไปค้นหาส่วนที่สนใจเอาเอง แบบนี้ลูกค้าจะส่ายหน้าและกดออกจากเว็บไซต์ก่อนที่จะตกลงซื้อสินค้าหรือบริการของเรา

  1. ห้ามละเลยการมีส่วนร่วมของผู้ชมเว็บไซต์

หากอยากชนะใจลูกค้าต้องทำความเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร และศึกษาว่าลูกค้าจะใช้ช่องทางไหนในการหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นต้องใส่ใจว่าลูกค้ากำลังค้นหาอะไร แล้วธุรกิจของเราสามารถตอบโจทย์อะไรให้กลุ่มคนเหล่านั้นได้บ้าง และปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงกับความต้องการ เพื่อยืดเวลาการใช้งานของผู้ชมในเว็บไซต์ให้มากขึ้น สิ่งนี้จะทำให้ลูกค้าอยากสนับสนุนแบรนด์มากขึ้น

  1. อย่าเลือกใช้ Black Hat SEO หรือ SEO สายดำในการเพิ่มอันดับเว็บไซต์

การเลือกใช้ SEO สายดำคือการหาประโยชน์จากช่องโหว่ของเสิร์ชเอ็นจิ้นและทำสิ่งที่ฝ่าฝืนข้อห้ามของ Google เช่น การทำลิงก์ที่เป็นสแปม การใส่คีย์เวิร์ดแบบไม่เป็นธรรมชาติ การคัดลอกงานของผู้อื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ได้ผลลัพธ์เชิงปริมาณอย่างรวดเร็ว แต่อาจจะโดนตรวจสอบและถูก Google ลงโทษ หากไม่รุนแรงอาจเป็นการลดอันดับการค้นหาหรืออาจจะถูกนำออกไปจากผลการค้นหาในทันทีเลย 

ทั้งหมดนี้คือ 5 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหากต้องการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ หวังว่าผู้ที่สนใจการตลาดออนไลน์ทุกคนจะระวังข้อห้ามเหล่านี้และไม่เผลอใช้ในธุรกิจของตนเอง เพราะภาพลักษณ์ที่เสียไปแล้วในสายตาลูกค้า การจะกู้คืนมาต้องใช้เวลานานมากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว ดังนั้นเลือกทำตามขั้นตอน SEO ที่ถูกต้องจะได้ผลลัพธ์ในระยะยาวดีกว่า ถึงจะใช้เวลานาน แต่สามารถมั่นใจถึงคุณภาพของงานได้อย่างแน่นอน

เทคนิคพัฒนา SEO ที่ทำให้ Google ชอบเว็บของคุณ

การพัฒนา SEO อย่างมีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงคุณภาพของเนื้อหาและเคารพความต้องการของลูกค้าเป็นหลักอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม มีอีกตัวแปรหนึ่งที่สำคัญกับการทำ SEO เป็นอย่างมาก คือการทำ SEO ให้สอดคล้องกับความต้องการของ Google เพื่อให้เว็บมีคุณภาพสูงและสุดท้ายจะได้ปรากฏในผลการค้นหาเป็นลำดับต้น ๆ ในที่สุด หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วจะทำยังไงดีให้ Google ชื่นชอบเว็บธุรกิจที่เราต้องการโปรโมท วันนี้จึงมีเทคนิคที่ไม่ยากเกินไป ทำได้ในทุกเว็บไซต์มานำเสนอ

  1. ต้องมั่นใจว่าเว็บโหลดได้เร็ว

ความเร็วของเว็บไซต์มีผลต่อการวัดผลโดย Google เป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่มีผลต่อความประทับใจที่ผู้ใช้งานมีต่อเว็บไซต์ ดังนั้นต้องทำทุกวิถีทางให้หน้าเว็บโหลดได้เร็ว โดยสามารถทำได้หลายวิธีการ เช่น ใช้รูปภาพที่มีขนาดเหมาะสม ไม่ใหญ่เกินไป ใช้ Client Caching เพื่อให้บราวเซอร์ของผู้ใช้งานจดจำข้อมูลบางอย่างของหน้าเพจไว้ เมื่อเปิดใช้งานครั้งต่อไป จะได้ไม่ต้องโหลดใหม่ตั้งแต่ต้น 

  1. เปลี่ยนชื่อของรูปให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ด

อย่าใส่รูปที่ตั้งชื่อแบบไม่มีระบบเอาไว้ในเว็บไซต์โดยเด็ดขาด อย่าลืมเปลี่ยนชื่อ โดยใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการลงในไฟล์รูปภาพด้วย สิ่งนี้จะทำให้ Google เข้าใจว่าภาพนี้เกี่ยวกับอะไร และมีโอกาสที่จะขึ้นแนะนำภาพบนหน้าของการคนหา จึงเป็นผลดีต่อการทำ SEO โดยตรง

  1. แก้ไข URL ให้สามารถอ่านเข้าใจได้

URL นับว่าเป็นที่อยู่ของเว็บไซต์บนโลกออนไลน์ อย่าปล่อยให้ซอฟแวร์สร้าง URL อัตโนมัติเป็นอันขาด เพราะส่วนใหญ่มักจะสร้างเป็นรหัสตัวเลขที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจได้ Google จึงไม่ชอบ URL ที่มีลักษณะแบบนี้ ดังนั้นต้องเปลี่ยน URL ให้สอดคล้องกับเนื้อหา โดยทำให้สั้นและกระชับ เข้าใจง่าย เมื่อนำลิงค์ไปแปะที่ไหนจะได้ดูน่าเชื่อถือ และมีผู้ใช้สนใจกดเข้ามาอ่าน

  1. ใส่ Meta Description 

Meta Description เป็นข้อความส่วนที่อธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ โดยจะปรากฏอยู่ใต้หัวข้อในผลลัพธ์การค้นหาของ Google ซึ่ง Meta Description ที่ดีควรประกอบไปด้วยคีย์เวิร์ดของเนื้อหา และมีความยาวประมาณ 150 ตัวอักษร ต้องเขียนให้น่าดึงดูดใจ คนอ่านจะรู้สึกอยากกดเข้ามาดูเนื้อหาเต็มบนหน้าเพจ

  1. สร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ

การมี Backlink ที่ดีเหมือนเป็นการสร้างคอนเน็กชั่นที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาบนโลกออนไลน์นั่นเอง ยิ่ง Backlink มีคุณภาพ จะยิ่งทำให้เพิ่มความน่าเชื่อถือ สร้างความน่าสนใจในระบบของ Google มากขึ้น เพราะ Google จะคิดว่ามีคนจำนวนมากกำลังพูดถึงเว็บไซต์ของเรา จึงทำให้ Google อยากดันอันดับขึ้นมาในผลการค้นหานั่นเอง

ทั้งหมดนี้คือแนวทางการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ถูกใจ Google ซึ่งจะยกระดับคุณภาพของเว็บได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตาม Google เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งทางออนไลน์ แน่นอนว่ามันสามารถสร้างผลลัพธ์ทางการค้นหาที่ดีขึ้นมาได้ แต่อย่าลืมว่าผู้ใช้งานต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินว่าหน้าเพจธุรกิจของเรามีคุณภาพหรือไม่ ดังนั้นนอกจากจะใส่ใจวิธีการทางเทคนิคให้ตรงกับมาตรฐานของ Google แล้ว ต้องหมั่นสร้างเนื้อหาที่ดีเพื่อดึงดูดการใช้งานของลูกค้าในระยะยาวด้วย

รวมกลเม็ดการทำ SEO ที่ถูกต้องเพื่อตอบโจทย์การเติบโตของเว็บไซต์

เมื่อพูดถึงวิธีการที่ดีสำหรับเว็บไซต์ เป็นวิธีการสำหรับการขยายตลาด เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย สร้างโอกาสในการขายและทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงวิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization อย่างแน่นอน เนื่องด้วยเป็นวิธีการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้เว็บไซต์นั้น ๆ พัฒนาไปสู่การเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เข้าชม โดยจะมีวิธีอะไรที่เป็นกลเม็ดที่น่าสนใจบ้างนั้นตามไปดูกัน

  • ภายในเว็บไซต์จะต้องมีรูปแบบที่ส่วนงาม น่าสนใจดึงดูดผู้เข้าชม ไม่ใช่แต่เพียงรูปแบบของเว็บไซต์ที่นำเสนอผ่านการเข้าเว็บไซต์ด้วยคอมพิวเตอร์เท่านั้นแต่ยังต้องมีการปรับรูปแบบเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมสำหรับการเข้าดูเว็บไซต์ผ่านจอมือถือด้วย เนื่องด้วยในทุกวันนี้ผู้คนจำนวนมากมักมีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองสนใจผ่านโทรศัพท์มือถือเพราะมีความง่าย รวดเร็วและสะดวกสบาย ใช้ได้ในทุกที่ทุกเวลาผ่านช่องทางออนไลน์เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
  • ในเว็บไซต์ควรจะมีเนื้อหาที่เป็นเนื้อหาที่สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสม เป็นเนื้อหาที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เข้ามารับชมจริง ๆ ในส่วนของข้อมูลที่นำมาลงในเว็บไซต์เป็นบทความควรจะมีการเขียนขึ้นมาใหม่สามารถอ้างอิงข้อมูลสำคัญจากแหล่งต่าง ๆ ได้แต่ไม่ใช่การคัดลอกมาจากต้นฉบับ เพราะจะทำให้เนื้อหานั้น ๆ กลายเป็นเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อการทำ SEO อย่างแน่นอน ซึ่งรูปแบบของการเขียนบทความ SEO ก็จะมีความแตกต่างจากบทความทั่วไป โดยจะมีรายละเอียด การวางคีย์เวิร์ด ความถี่ในการใส่คีย์เวิร์ด การกระจายคีย์เวิร์ดและอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าหากเจ้าของเว็บไซต์มีความเข้าใจในส่วนนี้เป็นอย่างดีก็จะเพิ่มโอกาสในการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 
  • เลือกคีย์เวิร์ดที่มีจำนวนการค้นหาที่สูง ข้อนี้มีความสำคัญมากเพราะคีย์เวิร์ดเป็นเหมือนกุญแจที่จะนำให้ทุกคนสามารถเข้ามาค้นเจอเว็บไซต์ได้ ดังนั้นเจ้าของเว็บไซต์ควรที่จะทำการวิจัยและวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่จะนำมาใช้อย่างเหมาะสมเพื่อก่อให้เกิดคุณภาพและประสิทธิภาพในการทำ SEO ที่ดี
  • มีเครือข่ายของลิงก์จากเว็บไซต์ภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือที่มีการอ้างอิงมาที่เว็บไซต์ของทางแบรนด์ ในส่วนนี้ก็จะช่วยทำให้เว็บไซต์มีเครดิตและส่งผลต่อการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าวิธีการทำ SEO มีหลากหลายขั้นตอน มีหลายองค์ประกอบ โดยในแต่ละส่วนนั้นสามารถที่จะนำมาแยกย่อยและพัฒนาได้อีกมากมาย ถ้าใครที่เป็นมือใหม่ในการทำเว็บไซต์สามารถที่จะศึกษาหาข้อมูลในการทำ SEO เพิ่มเติม ฝึกอบรมการทำเว็บไซต์หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเว็บไซต์เพื่อตอบโจทย์การทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ของคุณได้ตามสะดวก บอกเลยว่ามีความคุ้มค่าอย่างแน่นอน

“SEO” อาชีพในฝันของใครหลายๆคน

หากย้อนไปประมานสัก 40 ปี จะรู้กันดีว่าค่านิยมของคนในยุคสมัยก่อนนั้น จะนิยมให้ลูกหลานตั้งใจเรียบและดันให้เรียนเก่งๆ เพื่อจบมาจะได้เข้ารับราชการมีเดือนประจำ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นงานที่น่าทำเป็นอย่างมาก มีทั้งชื่อเสียงเรื่องวงตระกลู รวมถึงความมั่นคงทางด้านการเงิน และผลประโยชน์อื่นๆอีกหลายอย่าง โดยอาชีพราชการนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือระบบบริหารประเทศ เนื่องจากงานราชการเป็นงานในส่วนของภาครัฐ เลยทำให้มีผู้คนพยายามถีบตัวเองและครอบครัวให้ได้บรรจุในอาชีพข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นทหาร, ตำรวจ, ครู และอาชีพอื่นๆอีกมากมาย

ถัดมาก่อนยุคอินเตอร์เน็ตจะเกิดขึ้นนั้น ฐานเงินเดือนของข้าราชการเริ่มนิ่งอยู่กับที่และไม่ค่อยมีความก้าวหน้าในอาชีพ ทำให้ค่านิยมของผู้คนเริ่มหันมาดันให้ลูกหลานเรียนจบสูงๆ เป็นด็อกเตอร์ เป็นหมอ เป็นวิศวะกร เพื่อสามารถทำธุรกิจและทำให้ได้มีรายได้สูงขึ้นกว่าอาชีพข้าราชการธรรมดาๆ จึงเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพที่มีความน่าสนใจ แต่พอยุคปัจจุบันมีอินเตอร์เน็ตเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันของทุกคน ก็เกิดเป็นอาชีพใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ และ 1 ในอาชีพนั้นก็คืออาชีพโปรแกรมเมอร์ อาชีพที่ทำการตลาดออนไลน์ อาชีพรับจ้างดูแลเว็บไซต์ต่างๆ รวมไปถึงอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจไม่แพ้กันคืออาชีพ “SEO” ที่อยู่ในกลุ่มการตลาดออนไลน์

“SEO” อาชีพนี้ ดีอย่างไร มีผู้คนสงสัยกันมา เริ่มต้นจากทำไมคนถึงสนใจกันเยอะขนาดนี้ และจะมีเยอะขึ้นทุกๆวัน ซึ่งงานหลักๆของการทำ Seo นั้น มันคือการใช้หลักความน่าจะเป็นที่จะต้องรู้จักฝึกความคิด  ว่าการจะทำเว็บไซต์นั้นควรออกมาในรูปแบบไหน รวมถึงเขียนบทความต่างๆว่าจะสื่อให้คนเสิร์ชเข้ามาดูแล้วรู้เรื่องยังไง และให้ถูกใจ Web Search Engine ที่ต้องการจะทำอันดับเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกของผลการค้นหาด้วย เพื่อให้ได้ลูกค้าจากการค้นหาหน้าเว็บ Search Engine ในปัจจุบันนี้ Google ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก และมีคนใช้งานมากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะค้นหาผ่าน Google ถ้าหากเรามีความสามารถในการทำอันดับเว็บไซต์เราให้ต้นหน้าแรกของ Google ได้ รับรองว่าไม่มีการตกงานแน่นอน หรือแม้แต่ถ้าไม่มีใครเข้ามาจ้าง เราก็สามารถสร้างรายได้จากการทำ Seo ของเราด้วยการโฆษณานั่นเอง นี่คือหนึ่งช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ดีที่สุดและมีผู้คนหลายคนพยายามฝึกตัวเอง เพื่อที่จะให้ก้าวมาถึงจุด “มือโปรเอสอีโอ” ให้ได้ ถามว่าดียังไงนั้นหรือ คือมีหลายบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่พยายามหานักทำ Seo เก่งๆมือโปรมาร่วมทีม เพื่อที่จะเพิ่มยอดขายกับทางบริษัท 

โดยที่ Seo นั้นแบ่งออกเป็น 2 สาย คือ “สายขาว” ที่ทำให้งานให้กับบริษัทถูกกฏหมายและมีหลักแหล่ง ส่วนอีกสายคือ “สายเทา” หรือ “สายดำ” ที่คอยทำงานให้กับบริษัทเกี่ยวกับการพนัน ซึ่งผลตอบแทนหรือเงินที่จะได้รับนั้นมากกว่าทำงานสายขาวหลายเท่าตัว ถ้าหากยังไม่เห็นภาพจะยกตัวอย่างให้ดู อย่างเราทำหน้าที่เป็น SEO ให้กับบริษัทการพนันออนไลน์แบบครบวงจร ก็จะทำเกี่ยวกับการวิเคราะห์บอลให้ทีเด็ดบอลเต็งบอลสเต็ป รวมถึงการสร้างสูตรเล่นคาสิโนและสูตรเล่นสล็อต เป็นต้น พอนักลงทุนที่เข้ามาแล้วได้เสียเราก็จะรายได้จากตรงนี้เพิ่มเติมอีกส่วนไม่รวมเงินเดือนที่จ้าง ต่างกันกับการที่เราทำให้บริษัทที่ถูกกฏหมายก็จะได้เงินเดือนตามที่กำหนดและไม่มีนอกมีในให้เหมือนกับ “สายเทา” หรือ “สายดำ” นั่นเอง

เริ่มต้นการทำ SEO บน YouTube ได้อย่างไร

ปัจจุบันอาชีพ YouTuber เป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมมาก เพราะค่าตอบแทนของการเป็น YouTuber ที่มีความนิยมสูงก็จะมีค่าตอบแทนสูงตามไปด้วย ซึ่งหลายคนไม่ได้สร้างช่อง YouTube เพื่อสร้างชื่อเสียงในด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่ช่องยูทูปยังสามารถเป็นพื้นที่โฆษณาสินค้าของตัวเองหรือขายสินค้าให้กับผู้อื่นได้ด้วย

การสร้างช่องยูทูปไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่สิ่งที่ยากคือการทำให้ช่องมีผู้ติดตามและมียอดวิวเพิ่มขึ้นตามความต้องการ ซึ่งทำ VDO ให้มีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจหรือมีความแปลกใหม่ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีผู้ติดตามที่เพิ่มมากขึ้น แต่การทำ SEO ให้กับช่อง YouTube จะยิ่งทำให้ช่องได้รับความนิยมและเข้าถึงกลุ่มผู้ชมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งวิธีการทำ SEO ให้กับช่อง YouTube มีดังนี้

วิธีการทำ SEO ให้กับช่อง YouTube

เริ่มต้นด้วยการตั้งชื่อไฟล์ VDO ที่ตัดต่อเอาไว้เรียบร้อย พร้อม Upload ลงช่องด้วย Keyword เพื่อให้ YouTube รู้ว่า VDO ที่จะ Upload เป็นวิดีโอเกี่ยวกับอะไร โดยการตั้งชื่อที่ดีจะช่วยให้วิดีโอมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น

เมื่อ Upload ไฟล์ VDO ลงยูทูปเรียบร้อยแล้วการใส่คำอธิบายคลิปก็เป็นการทำ SEO อย่างหนึ่งและยังช่วยให้กลุ่มเป้าหมายของคลิปได้ทราบถึงรายละเอียดเบื้องต้นว่าคลิปเกี่ยวกับอะไรและจะมีเหตุการณ์น่าสนใจอะไรเกิดขึ้น ซึ่งในส่วนนี้เป็นส่วนที่เราสามารถแทรกลิงก์เว็บไซต์ลงไปได้หากมีการทำเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้การเขียนคำอธิบายควรมีความยาวไม่เกิน 20 คำและต้องมี Keyword ที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายแทรกอยู่ด้วยในปริมาณที่เหมาะสม

การจัดหมวดหมู่ของวิดีโอภายในช่องเป็นวิธีที่จะช่วยให้ YouTube มองเห็นว่าช่องมีคุณภาพ ซึ่งการจัดหมวดหมู่ของวิดีโอก็เหมือนกับการจัดหมวดหมู่ในเว็บไซต์นั่นเอง โดยการตั้งชื่อหมวดหมู่ของ VDO หรือ Playlist ควรใช้ Keyword ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ให้มีความคล้ายกัน โดยควรตั้งเป็นประโยคที่มีความน่าสนใจ ซึ่ง Playlist จะทำให้ผู้เข้าชมวิดีโอสามารถเลือกดูวิดีโอที่ตัวเองสนใจได้ง่ายขึ้นด้วย

หน้าปก VDO เป็นจุดที่จะช่วยดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายอยากเข้าชม ดังนั้นการลงทุนเวลาในการทำปกย่อมช่วยให้ VDO มีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น โดยภาพที่นำมาใช้เป็นปกต้องมีความละเอียด 1280 x 720 และเลือกการใช้สีสันที่สดใสเพื่อช่วยดึงดูดให้ผู้ชมคลิกดูง่ายขึ้น

เพิ่มช่องทางการติดต่อเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่ชมเว็บไซต์แล้วรู้สึกเป็นกันเองและมีความใกล้ชิดกับ Youtuber มากขึ้น การทิ้งช่องทางติดต่อจะทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจและช่วยรักษาฐานผู้ติดตามไว้ได้ดีกว่า

ด้วยการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงของการทำช่อง YouTube ในหมวดต่าง ๆ ทำให้การใช้เทคนิค SEO จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมได้มากขึ้น

วิธีการทำ SEO ให้กับช่อง YouTube