เริ่มต้นการทำ SEO บน YouTube ได้อย่างไร

ปัจจุบันอาชีพ YouTuber เป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมมาก เพราะค่าตอบแทนของการเป็น YouTuber ที่มีความนิยมสูงก็จะมีค่าตอบแทนสูงตามไปด้วย ซึ่งหลายคนไม่ได้สร้างช่อง YouTube เพื่อสร้างชื่อเสียงในด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่ช่องยูทูปยังสามารถเป็นพื้นที่โฆษณาสินค้าของตัวเองหรือขายสินค้าให้กับผู้อื่นได้ด้วย

การสร้างช่องยูทูปไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่สิ่งที่ยากคือการทำให้ช่องมีผู้ติดตามและมียอดวิวเพิ่มขึ้นตามความต้องการ ซึ่งทำ VDO ให้มีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจหรือมีความแปลกใหม่ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีผู้ติดตามที่เพิ่มมากขึ้น แต่การทำ SEO ให้กับช่อง YouTube จะยิ่งทำให้ช่องได้รับความนิยมและเข้าถึงกลุ่มผู้ชมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งวิธีการทำ SEO ให้กับช่อง YouTube มีดังนี้

วิธีการทำ SEO ให้กับช่อง YouTube

เริ่มต้นด้วยการตั้งชื่อไฟล์ VDO ที่ตัดต่อเอาไว้เรียบร้อย พร้อม Upload ลงช่องด้วย Keyword เพื่อให้ YouTube รู้ว่า VDO ที่จะ Upload เป็นวิดีโอเกี่ยวกับอะไร โดยการตั้งชื่อที่ดีจะช่วยให้วิดีโอมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น

เมื่อ Upload ไฟล์ VDO ลงยูทูปเรียบร้อยแล้วการใส่คำอธิบายคลิปก็เป็นการทำ SEO อย่างหนึ่งและยังช่วยให้กลุ่มเป้าหมายของคลิปได้ทราบถึงรายละเอียดเบื้องต้นว่าคลิปเกี่ยวกับอะไรและจะมีเหตุการณ์น่าสนใจอะไรเกิดขึ้น ซึ่งในส่วนนี้เป็นส่วนที่เราสามารถแทรกลิงก์เว็บไซต์ลงไปได้หากมีการทำเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้การเขียนคำอธิบายควรมีความยาวไม่เกิน 20 คำและต้องมี Keyword ที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายแทรกอยู่ด้วยในปริมาณที่เหมาะสม

การจัดหมวดหมู่ของวิดีโอภายในช่องเป็นวิธีที่จะช่วยให้ YouTube มองเห็นว่าช่องมีคุณภาพ ซึ่งการจัดหมวดหมู่ของวิดีโอก็เหมือนกับการจัดหมวดหมู่ในเว็บไซต์นั่นเอง โดยการตั้งชื่อหมวดหมู่ของ VDO หรือ Playlist ควรใช้ Keyword ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ให้มีความคล้ายกัน โดยควรตั้งเป็นประโยคที่มีความน่าสนใจ ซึ่ง Playlist จะทำให้ผู้เข้าชมวิดีโอสามารถเลือกดูวิดีโอที่ตัวเองสนใจได้ง่ายขึ้นด้วย

หน้าปก VDO เป็นจุดที่จะช่วยดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายอยากเข้าชม ดังนั้นการลงทุนเวลาในการทำปกย่อมช่วยให้ VDO มีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น โดยภาพที่นำมาใช้เป็นปกต้องมีความละเอียด 1280 x 720 และเลือกการใช้สีสันที่สดใสเพื่อช่วยดึงดูดให้ผู้ชมคลิกดูง่ายขึ้น

เพิ่มช่องทางการติดต่อเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่ชมเว็บไซต์แล้วรู้สึกเป็นกันเองและมีความใกล้ชิดกับ Youtuber มากขึ้น การทิ้งช่องทางติดต่อจะทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจและช่วยรักษาฐานผู้ติดตามไว้ได้ดีกว่า

ด้วยการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงของการทำช่อง YouTube ในหมวดต่าง ๆ ทำให้การใช้เทคนิค SEO จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมได้มากขึ้น

วิธีการทำ SEO ให้กับช่อง YouTube

Organic SERPs คืออะไร ทำไมต้องรู้จัก

การทำเว็บไซต์ SEO เป็นวิธีที่ผู้ชำนาญทางการตลาดออนไลน์ แนะนำให้ให้ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ทุกประเภท ศึกษาและพัฒนาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายเมื่อมีการค้นหาด้วยคำสำคัญใน Google ทั้งนี้ คำศัพท์ที่สำคัญ คือ Organic SERPs เป็นสิ่งที่ทุกคนควรเข้าใจ เพราะจะเป็นประโยชน์ในการสังเกตผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงด้าน SEO ของเว็บไซต์ตัวเอง และช่วยให้เห็นว่าเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ใช้ keyword เดียวกันมีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง

Organic SERPs ย่อมาจาก organic search engine result pages หมายถึงหน้าจอแสดงผลของ Google ที่จะปรากฏขึ้น เมื่อมีการใส่ keyword ลงไปในช่องค้นหา

ตัวอย่างเช่น คุณใช้ keyword คำว่า ดอกไม้รับปริญญา เมื่อกดค้นหา ก็จะปรากฏเว็บไซต์ต่าง ๆ ลำดับตามคะแนน SEO จากสูงไปต่ำ 1-10 เว็บไซต์ในแต่ละหน้าเพจ

มีการศึกษาวิจัยพบว่าเว็บไซต์ SEO ที่ปรากฏผลอยู่ในส่วน Organic SERPs อันดับที่ 1-5 จะมียอดขายสินค้าและบริการมากกว่าเว็บไซต์ที่อยู่ในลำดับล่าง ๆ ลงไป และนอกจากคำว่า Organic SERPs แล้ว ยังมีคำว่า Paid SERPs ซึ่งหมายถึง เว็บไซต์ที่มีการจ่ายเงินเป็นค่าสปอนเซอร์ เพื่อซื้อพื้นที่โฆษณา จะอยู่โซนด้านบนหรือด้านข้างของหน้าจอ โดยต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายให้ Google แตกต่างจาก Organic SERPs ที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย เพียงพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นตามกฎของ Google และอัปเดตความสดใหม่ของบทความเสมอ ๆ

หากคุณต้องการทำให้อันดับเว็บไซต์ SEO ใน Organic SERPs ดีขึ้น ต้องห้ามมองข้ามสิ่งต่อไปนี้

1. โครงสร้างของเว็บไซต์ ต้องมีการจัดหมวดหมู่ของสินค้าและบริการที่ชัดเจน

2. ระบบใช้งานง่ายกับโทรศัพท์มือถือและอาจมีแชทบอทที่ช่วยในการตอบคำถาม

3. หัวข้อและ keyword ที่ดี หัวข้อต้องน่าสนใจ และใช้คำสำคัญที่มีความยาวและเฉพาะเจาะจง สัมพันธ์กับพฤติกรรมการสืบค้นของผู้บริโภคยุคใหม่

4. แชร์ Link เชื่อมโยงจากแพลตฟอร์มของสื่อโซเชียลอื่น ๆ เช่น Instagram Facebook

5. มีการทําไฮเปอร์ลิงก์เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่เพจหน้าอื่นในเว็บไซต์ตัวเอง สร้างความสะดวกให้แก่ผู้อ่าน

หากคุณใส่ใจองค์ประกอบต่าง ๆ ครบทุกด้านที่กล่าวมา ก็ทำให้อันดับ SEO สูงขึ้น ซึ่งกรณีของการพิมพ์หาด้วยคำค้นต่าง ๆ เช่น ดอกไม้รับปริญญา ถ้าเจอเว็บไซต์ใดในอันดับต้น ๆ ของ Organic SERPs แปลว่ามีคุณภาพตามหลัก SEO ครบถ้วน

และหากเว็บไซต์คุณอยู่ในอันดับต้น ๆ ของส่วน Organic SERPs ด้วย ก็แสดงว่าคุณได้พัฒนาเว็บไซต์มาถูกทางแล้ว และควรทำอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อให้ได้อันดับที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ

Organic SERPs มีประโยชน์ทั้งการยืนยันคุณภาพของเว็บไซต์ตนเอง และช่วยให้สามารถที่จะศึกษาเปรียบเทียบกับเว็บไซต์อื่นที่เป็นคู่แข่งของธุรกิจที่ใช้คำค้นหาเดียวกันได้ด้วย

เราหวังว่าบทความนี้ จะช่วยทุกท่านสนใจการใช้ประโยชน์จาก Organic SERPs มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประสบผลสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์ต่อไป

หัวข้อและ keyword ที่ดี หัวข้อต้องน่าสนใจ

เทคนิคการทำ SEO ให้รูปภาพ 2019

การทำ SEO ให้รูปภาพเป็นเทคนิคหนึ่งที่จะทำให้อันดับในการสืบค้นของเว็บไซต์ทางธุรกิจคุณดีขึ้นได้ นอกจากการทำลิงก์หรือหรือการใส่ keyword ในบทความแล้ว การปรับแต่งรายละเอียดต่าง ๆ ของรูปภาพยังส่งผลต่อความประทับใจของผู้ใช้งานเว็บไซต์และทำให้เสริมสร้างแบรนด์ของคุณให้เป็นเอกลักษณ์ได้มากขึ้นด้วย

การทำ SEO ให้รูปภาพอย่างมืออาชีพมีเทคนิค ดังนี้

1. การควบคุมขนาดรูป

การเพิ่มความประทับใจของผู้อ่าน ลดเวลาการรอคอยการดาวน์โหลดภาพและบทความ ด้วยการย่อรูปลงให้มีขนาดที่เหมาะสมในช่วง 700-800 Pixel ก็เพียงพอ หลายเว็บไซต์ที่มีการเช่าพื้นที่โดเมน จะต้องแชร์ทรัพยากรร่วมกัน จะมีปัญหาดาวน์โหลดนานเกิน 3-5 วินาที ทำให้เสียลูกค้าไปให้แบรนด์คู่แข่งอื่นได้ง่าย

2. การตั้งชื่อรูปภาพ

ควรใช้อักษรภาษาอังกฤษและใส่ keyword เดียวกันกับบทความลงไปด้วย เนื่องจากว่าจะทำให้ระบบ algorithm วิเคราะห์และประมวลได้ดีขึ้น ที่สำคัญคือ ควรใส่คำที่ตอบโจทย์ว่า บุคคลในภาพคือใคร กำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน มีอารมณ์อย่างไร และธีมสีภาพอะไรด้วย

3. การใช้ฟังก์ชั่น alt text ทำงาน

ฟังก์ชั่น alt text ของโปรแกรม wordpress จะช่วยในการอธิบายใส่รายละเอียดในรูปภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยจะมีระบบในการวิเคราะห์ว่าควรปรับแต่งเพิ่มเติมมากน้อยอย่างไรบ้าง จะทำให้ได้ภาพที่ผ่านการปรับแต่งให้เข้ากับหลักเกณฑ์ของ SEO มากขึ้น

4. การคิดหัวข้อหรือ Title ให้แก่รูปภาพ

คนทำเว็บไซต์ส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการทำหัวข้อ title ของบทความที่ต้องสะดุดตา ดึงดูดใจคนอ่านให้คลิกเข้ามาในเว็บไซต์หลังการ search ใน Google ซึ่งการทำหัวข้อ title ของส่วนรูปภาพ ก็มีผลต่อคะแนนจัดอันดับเว็บไซต์เช่นเดียวกัน ควรตั้งชื่อให้สอดคล้องกับบทความและต้องมี keyword หลักเดียวกันอยู่ด้วย

5. การผลิตรูปใหม่

การใช้รูปที่ถ่ายขึ้นเองใหม่จะมีผลดีต่อคะแนน SEO ที่สูงกว่าการใช้รูปดาวน์โหลดจากเว็บไซต์โดยเฉพาะแบบที่ให้ภาพฟรีปลอดลิขสิทธิ์ และยังเป็นการสร้างแบรนด์ของคุณให้ลูกค้าประทับใจมากขึ้น ในปัจจุบันโลกโซเชียลมีการแชร์บทความบ่อย ๆ หากคุณใช้รูปที่คนเคยเห็นจนชินตา ก็จะทำให้ความอยากอ่านบทความน้อยลง ทำให้อัตราการเคลื่อนไหวหรือค่า traffic ในเว็บไซต์ต่ำลง แนะนำว่าควรศึกษาเทคนิคการถ่ายภาพแบบมืออาชีพและเรียน Photoshop เพื่อการตกแต่งภาพสร้างความโดดเด่นยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า เทคนิคการทำ SEO ในภาพดังที่กล่าวมา เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้อ่านจดจำเว็บไซต์คุณมากขึ้น เป็นเทคนิคการสร้างแบรนด์ในระยะยาว ทั้งเพิ่มอันดับการสืบค้น จึงมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านนำหลัก SEO ไปปรับใช้กับรูปภาพได้มากขึ้นต่อไป

เทคนิคการทำ SEO ให้รูปภาพ 2019

วิธีการเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่ดี

การทำ SEO ให้แก่เว็บไซต์ออนไลน์เป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการแข่งขันทางการค้ามากขึ้น จากการที่เว็บไซต์จะถูกประเมินด้วยระบบ algorithm ของ Google ให้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของหน้าต่างการสืบค้น

ผู้ที่ต้องการจ้างบริษัททำ SEO จึงควรทราบวิธีเลือกบริษัทที่มีคุณสมบัติที่ดีเพื่อให้ไม่เสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงหรือคาดหวังผลเกินความเป็นจริง ดังนี้

1. การเลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ

โดยสังเกตจากใบทะเบียนการค้าและเว็บไซต์ที่มีการลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน มีที่อยู่และผู้รับผิดชอบที่ติดต่อได้จริง เป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานที่ต้องพิจารณา ทั้งนี้ ควรอ่านรีวิวโดยผู้ใช้บริการจริง ว่าให้ผลลัพธ์การทำ SEO ที่น่าพึงพอใจด้วย ซึ่งจะสามารถหาข้อมูลการรีวิวได้จากเว็บไซต์ออนไลน์ เช่น เว็บไซต์พันทิป หรือกลุ่มรับจ้างทำ SEO ใน Facebook

2. การมีขั้นตอนแบบมืออาชีพ

ผู้ให้บริการ SEO ต้องสามารถอธิบายได้ว่า ขั้นตอนการทำ SEO ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ซึ่งกูรูด้านการตลาดแนะนำว่า ควรเริ่มจากการปรับแก้ไขส่วนโครงสร้างพื้นฐานหรือที่เรียกว่า on-page SEO เพื่อสามารถต่อยอดให้ทำในส่วน Backlink และการเพิ่มบทความ SEO เพื่อส่งเสริมการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

3. การรายงานผล

ผลสรุปรายวันและรายเดือนสำหรับการทำ SEO มีประโยชน์ต่อการหาจุดบกพร่องที่ควรแก้ไขในแต่ละวัน บริษัทที่ทำ SEO จึงต้องมีการกล่าวถึงเรื่องนี้ในสัญญาจ้างงานด้วย

4. ต้องไม่เลือกวิธีที่ผิดกฎที่ Google กำหนด

การทำสแปม keyword (มีการใส่ keyword ซ้ำ ๆ หรือเป็นคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทความ) จะทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์ของลูกค้าตกต่ำลงไปได้ และในที่สุดก็จะถูกแบนจากระบบของ Google ได้ด้วย

5. ราคาการทำ SEO เหมาะสม

ราคาการจ้างงานจะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่แตกต่างจากปกติมากนัก หากคิดราคาถูกเกินไป อาจเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงหรือถูกทิ้งงานกลางคันได้

6. การการันตีผลการทำ SEO

โดยปกติแล้วระบบ algorithm ของ Google จะมีการเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นระยะ เพื่อนำไปประมวลและอัปเดตผลการเปลี่ยนแปลงการนำเสนอในหน้าต่างการสืบค้นอย่าง Google search ซึ่งจะไม่สามารถมีการบังคับอันดับการนำเสนอได้ สิ่งที่คาดหวังผลได้มากที่สุด คือ การทำให้เว็บไซต์อยู่ในหน้าแรกของหน้าต่างการสืบค้น หรือ Top 5 Top 10 เท่านั้น หากบริษัทที่รับทำ SEO การันตีว่าสามารถทำอยู่ในอันดับที่ 1 ได้อย่างแน่นอน อาจเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงหรือใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมได้

จะเห็นได้ว่า การเลือกบริษัททำ SEO จะต้องใส่ใจในเรื่องความน่าเชื่อถือ ขั้นตอนการทำ และศักยภาพของบริษัทที่รับทำ เพื่อให้ผู้จ้างทำ SEO ไม่เสียโอกาสการแข่งขันทางธุรกิจและทำให้การจ้างงานคุ้มค่ายิ่งขึ้น

การจ้างบริษัททำ SEO จึงควรทราบวิธีเลือกบริษัท

สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มทำ SEO ให้เว็บไซต์ออนไลน์

การทำ SEO ไม่ใช่เป็นเพียงเทรนด์การตลาด แต่เป็นสิ่งที่ควรทำให้แก่ทุกเว็บไซต์ เนื่องจากจะทำให้ถูกสืบค้นได้ง่าย จากการพิมพ์ keyword SEO ใน Search Engine อย่าง Yahoo และ Google จากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จึงช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างฐานลูกค้าที่กว้างขวางขึ้นได้ในระยะยาว

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ต้องมีการพัฒนาเว็บไซต์ใน 2 ส่วน ดังนี้

1. On-Page SEO

ได้แก่ การผลิตบทความในเพจ ที่ต้องเลือก keyword SEO ที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วว่าตรงกับที่กลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ใช้ค้นหา ซึ่งปัจจุบันควรใช้ Niche Keyword ที่มีความจำเพาะเจาะจงมากขึ้น

เช่น ใช้คำว่า “รองเท้ากีฬา วิ่ง ผู้หญิง สีชมพู Nike รุ่น” จะทำให้มีโอกาสได้รับการคลิกเข้ามาชมและมียอดขายได้มากกว่า การใช้คำว่า “รองเท้าวิ่ง”

นอกจากนี้ ต้องมีการออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่าย ทั้งบนโทรศัพท์มือถือและหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่สั่งสินค้าทางมือถือมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

2. Off-Page SEO

คือ การเชื่อมโยงลิงก์กับเว็บไซต์ภายนอก เช่นการไปตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ และแนบ Link ไว้เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาดูข้อมูลเพิ่มในเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณ

เทคนิคนี้จะทำให้ได้ขยายแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น และเป็นการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณ จึงทำให้อันดับของ SEO ดีขึ้นตามไปด้วย

ทั้งนี้ ระบบ Algorithm ของ Search Engine จะเป็นผู้ที่ประมวลผลการพัฒนาเว็บไซต์ทั้งหมด หากไม่เป็นตามหลักการของ SEO ก็จะถูกจัดอันดับให้ตกลงไปด้านล่าง เช่น เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเป็น spam ใส่ keyword ที่ไม่ตรงกับสินค้า ใช้การคัดลอกเนื้อหาและภาพซึ่งเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังต้องหมั่นอัพเดทข้อมูลและพัฒนาเว็บไซต์ SEO อย่างสม่ำเสมอ เพราะหากคุณหยุดนิ่ง ก็ทำให้เว็บไซต์อื่นมีอันดับที่สูงกว่าได้ เรียกได้ว่าการทำ SEO ทำให้ผู้ที่มีความจริงจังในการพัฒนาเว็บไซต์ได้เปรียบคู่แข่งอย่างมาก

นับว่าเป็น ข้อดีที่สำคัญของการทำ SEO เพราะทำให้ทุกธุรกิจ ไม่ว่าเป็นองค์กรเล็กหรือใหญ่ ย่อมมีโอกาสปรากฏสู่สายตาของลูกค้าผู้บริโภคเท่าเทียมกัน ไม่สามารถผูกขาดอันดับ SEO ได้ (นักธุรกิจออนไลน์หน้าใหม่ จึงคลายความกังวลได้ เพียงใช้เวลา 2-3 เดือนในการทำ SEO อย่างต่อเนื่อง ก็สามารถมีศักยภาพในการแข่งขันที่มากทัดเทียมกับเจ้าตลาดรายเก่า)

การทำ SEO จึงต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือจ้างบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ ที่สำคัญ คือ ต้องมีการวัดผลการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจเมื่อทำ SEO เป็นระยะ จึงจะเกิดการพัฒนาเว็บไซต์อย่างเป็นระบบ และบรรลุเป้าหมายในการทำธุรกิจออนไลน์ได้อย่างงดงาม

พัฒนาเว็บไซต์ SEO อย่างสม่ำเสมอ

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ SEO ในปี 2019

การขายของออนไลน์ในปัจจุบันมีคู่แข่งทางธุรกิจจำนวนมาก เพราะความสะดวกในการเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตที่มีความไวระดับ 5G ทำให้ใคร ๆ ก็นำสินค้าและบริการมาเสนอขายได้อย่างง่ายดายทั่วโลก เพราะเป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้ซื้อส่วนใหญ่ ที่มีการสั่งซื้อสินค้าผ่านมือถือมากกว่า 90%

ผู้ที่จะทำเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าออนไลน์ จึงต้องทำให้เป็นระบบ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อช่วยเพิ่มอำนาจการแข่งขันให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

SEO เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ Search Engine อย่าง Yahoo, Bing Google กำหนดไว้ โดยจะต้องมีการพัฒนาใน 2 ส่วนคือ

1. On-Page SEO

หมายถึง การปรับที่ส่วนโครงสร้างและองค์ประกอบหน้าเว็บไซต์ ซึ่งทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่คลิกเข้ามาดูข้อมูลสินค้าหรืออ่านบทความในหน้าเพจมีความประทับใจและอยากกลับมาใช้บริการซ้ำอีก ได้แก่

การปรับให้โครงสร้างเว็บไซต์สวยงาม ทั้งตัวอักษร โลโก้ การจัดวางหมวดหมู่ ที่สร้างความจดจำได้ยาวนาน

ใช้งานง่ายทั้งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์และผ่านโทรศัพท์มือถือ

ใช้ Keyword SEO เป็นส่วนประกอบในบทความอย่างเหมาะสมโดยปัจจุบันควรเลือก Niche Keyword ที่มีสถิติพบว่าตรงกับที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ ใช้ค้นหาผ่านช่อง Search ของ Yahoo, Bing Google มากที่สุด

บทความ SEO ที่ผลิตออกมา ในแต่ละเพจควรใช้ Keyword SEO ไม่เกิน 2-3 คำ โดยซ้ำไม่เกิน 2-3 ตำแหน่ง จึงจะทำให้ไม่ถูกระบบอัลกอริทึมวิเคราะห์ว่าเป็นบทความขยะหรือ Spam

มีศิลปะและไอเดียสร้างสรรค์ในการทำสื่อประกอบบทความที่ตรงใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มีการเลือกสีที่เหมาะสมกับแบรนด์สินค้าตัวอย่างเช่น สินค้าออร์แกนิกที่เน้นความเป็นธรรมชาติและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ควรจะใช้สีครีม สีเขียว สีน้ำตาล เป็นสีประจำของเว็บไซต์ เพราะมีความหมายที่สื่อถึงความเป็นธรรมชาติ ไร้สารพิษ เป็นต้น

2. Off-Page SEO

มีเทคนิคที่นิยม คือ การทำ Backlink เชื่อมโยงหลายเว็บไซต์เข้าด้วยกัน เช่น การที่คุณไปเข้าร่วมในกลุ่มสนทนาในห้องแชทออนไลน์ต่าง ๆ แล้ว ร่วมตอบคำถามให้ความคิดเห็น หรือให้ความรู้ที่มีประโยชน์ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือความเชี่ยวชาญที่คุณมี เช่น หากคุณจำหน่ายรองเท้าเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ก็ควรเข้าในกลุ่มสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ หรือกลุ่มครอบครัว เพื่อให้ตรงกับความสนใจของสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งหากมีผู้ที่สนใจสินค้าจำพวกรองเท้าเพื่อสุขภาพ คุณสามารถแนะนำเว็บไซต์ของคุณได้ การใช้วิธีนี้จะทำให้ไม่โดนแบนออกจากกลุ่ม และเป็นการสร้างฐานลูกค้าใหม่ที่ได้ผลดีมาก

การทำเว็บไซต์ SEO เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาในหลายส่วนพร้อมกัน หากคุณต้องการให้การขายสินค้าออนไลน์ ประสบความสำเร็จ ก็จำเป็นต้องศึกษาเพื่อให้นำความรู้มาปรับใช้ให้ธุรกิจเติบโตได้มากที่สุดในปี 2019 นี้

เทคนิคที่นิยม คือ การทำ Backlink เชื่อมโยงหลายเว็บไซต์