5 เรื่องที่ห้ามทำหากอยากทำ SEO ให้สำเร็จ

การทำ SEO ให้ประสบความสำเร็จไม่ใช่เน้นแค่เพิ่มปริมาณโดยไม่พิจารณาถึงกลยุทธ์ที่ถูกต้อง เพราะในความเป็นจริงแล้ว การทำ SEO ให้ได้ผลดีมีเรื่องที่ควรใส่ใจอยู่ไม่น้อย หลายอย่างเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่บางอย่างกลับเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง เจ้าของธุรกิจที่เพิ่มลำดับการค้นหาบนโลกออนไลน์ให้ธุรกิจของตัวเองต้องรู้ว่าการตลาดแบบไหนที่ไม่ควรทำ เพราะทำแล้วนอกจากจะไม่สร้างประโยชน์อะไร ยังอาจส่งผลให้ถูกแบนจากผลการค้นหาอีกด้วย

  1. อย่ายัดเยียดคีย์เวิร์ด

การทำ SEO ต้องมีการศึกษาเรื่องคีย์เวิร์ดที่มีคุณภาพ เลือกคำที่ใช้อย่างชาญฉลาด และเชื่อมโยงกับเนื้อหาทางธุรกิจอย่างสมเหตุสมผล ไม่ใช่ยัดเยียดคีย์เวิร์ดเข้าไปในเนื้อหาที่ไม่มีความเกี่ยวข้องหรือยัดเยียดคำมากจนเกินไป จนทำให้ภาพลักษณ์ต่อแบรนด์ในมุมมองของลูกค้าไม่น่าเชื่อถือ สิ่งที่ควรทำคือสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพ ตอบคำถามของลูกค้าและแทรกคำค้นหาเข้าไปอย่างสม่ำเสมอ

  1. อย่าทำลิงก์มาจากภายนอกเว็บไซต์เท่านั้น

หลายคนอาจคิดว่าการทำ Off-page SEO ซึ่งหมายถึงการมีเว็บไซต์ภายนอกลิงก์มายังเว็บไซต์ของธุรกิจเป็นสิ่งที่ดี จึงเน้นการตลาดออนไลน์ไปแค่จุดนั้นเพียงอย่างเดียว จนทำให้เนื้อหาภายในเว็บไซต์ขาดมิติที่น่าสนใจไปไม่น้อย ถ้าอยากให้เว็บไซต์ดีและติดอันดับการค้นหา การทำ On-page SEO ด้วยการสร้าง Internal Links ภายในเว็บจัดเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอเช่นกัน

  1. อย่าทำ Backlink มาแค่ที่ Homepage

แน่นอนว่าการทำลิงก์มาที่เว็บของธุรกิจเป็นเรื่องดีอย่างแน่นอน แต่การจะทำ Backlink กลับมาที่เนื้อหาควรคำนึงถึงสิ่งที่คนกดเข้ามาดูในเว็บด้วย ลูกค้าควรเข้ามาเจอเนื้อหาที่เขาสนใจและสามารถตอบเรื่องคาใจของลูกค้าได้ ไม่ใช่กดเข้ามาเจอหน้า Homepage แล้วต้องไปค้นหาส่วนที่สนใจเอาเอง แบบนี้ลูกค้าจะส่ายหน้าและกดออกจากเว็บไซต์ก่อนที่จะตกลงซื้อสินค้าหรือบริการของเรา

  1. ห้ามละเลยการมีส่วนร่วมของผู้ชมเว็บไซต์

หากอยากชนะใจลูกค้าต้องทำความเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไร และศึกษาว่าลูกค้าจะใช้ช่องทางไหนในการหาสิ่งที่พวกเขาต้องการ ดังนั้นต้องใส่ใจว่าลูกค้ากำลังค้นหาอะไร แล้วธุรกิจของเราสามารถตอบโจทย์อะไรให้กลุ่มคนเหล่านั้นได้บ้าง และปรับแต่งเว็บไซต์ให้ตรงกับความต้องการ เพื่อยืดเวลาการใช้งานของผู้ชมในเว็บไซต์ให้มากขึ้น สิ่งนี้จะทำให้ลูกค้าอยากสนับสนุนแบรนด์มากขึ้น

  1. อย่าเลือกใช้ Black Hat SEO หรือ SEO สายดำในการเพิ่มอันดับเว็บไซต์

การเลือกใช้ SEO สายดำคือการหาประโยชน์จากช่องโหว่ของเสิร์ชเอ็นจิ้นและทำสิ่งที่ฝ่าฝืนข้อห้ามของ Google เช่น การทำลิงก์ที่เป็นสแปม การใส่คีย์เวิร์ดแบบไม่เป็นธรรมชาติ การคัดลอกงานของผู้อื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้ได้ผลลัพธ์เชิงปริมาณอย่างรวดเร็ว แต่อาจจะโดนตรวจสอบและถูก Google ลงโทษ หากไม่รุนแรงอาจเป็นการลดอันดับการค้นหาหรืออาจจะถูกนำออกไปจากผลการค้นหาในทันทีเลย 

ทั้งหมดนี้คือ 5 สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงหากต้องการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพ หวังว่าผู้ที่สนใจการตลาดออนไลน์ทุกคนจะระวังข้อห้ามเหล่านี้และไม่เผลอใช้ในธุรกิจของตนเอง เพราะภาพลักษณ์ที่เสียไปแล้วในสายตาลูกค้า การจะกู้คืนมาต้องใช้เวลานานมากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว ดังนั้นเลือกทำตามขั้นตอน SEO ที่ถูกต้องจะได้ผลลัพธ์ในระยะยาวดีกว่า ถึงจะใช้เวลานาน แต่สามารถมั่นใจถึงคุณภาพของงานได้อย่างแน่นอน

เทคนิคพัฒนา SEO ที่ทำให้ Google ชอบเว็บของคุณ

การพัฒนา SEO อย่างมีประสิทธิภาพต้องคำนึงถึงคุณภาพของเนื้อหาและเคารพความต้องการของลูกค้าเป็นหลักอย่างแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม มีอีกตัวแปรหนึ่งที่สำคัญกับการทำ SEO เป็นอย่างมาก คือการทำ SEO ให้สอดคล้องกับความต้องการของ Google เพื่อให้เว็บมีคุณภาพสูงและสุดท้ายจะได้ปรากฏในผลการค้นหาเป็นลำดับต้น ๆ ในที่สุด หลายคนอาจจะสงสัยว่าแล้วจะทำยังไงดีให้ Google ชื่นชอบเว็บธุรกิจที่เราต้องการโปรโมท วันนี้จึงมีเทคนิคที่ไม่ยากเกินไป ทำได้ในทุกเว็บไซต์มานำเสนอ

  1. ต้องมั่นใจว่าเว็บโหลดได้เร็ว

ความเร็วของเว็บไซต์มีผลต่อการวัดผลโดย Google เป็นอย่างมาก เพราะเป็นสิ่งที่มีผลต่อความประทับใจที่ผู้ใช้งานมีต่อเว็บไซต์ ดังนั้นต้องทำทุกวิถีทางให้หน้าเว็บโหลดได้เร็ว โดยสามารถทำได้หลายวิธีการ เช่น ใช้รูปภาพที่มีขนาดเหมาะสม ไม่ใหญ่เกินไป ใช้ Client Caching เพื่อให้บราวเซอร์ของผู้ใช้งานจดจำข้อมูลบางอย่างของหน้าเพจไว้ เมื่อเปิดใช้งานครั้งต่อไป จะได้ไม่ต้องโหลดใหม่ตั้งแต่ต้น 

  1. เปลี่ยนชื่อของรูปให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ด

อย่าใส่รูปที่ตั้งชื่อแบบไม่มีระบบเอาไว้ในเว็บไซต์โดยเด็ดขาด อย่าลืมเปลี่ยนชื่อ โดยใส่คีย์เวิร์ดที่ต้องการลงในไฟล์รูปภาพด้วย สิ่งนี้จะทำให้ Google เข้าใจว่าภาพนี้เกี่ยวกับอะไร และมีโอกาสที่จะขึ้นแนะนำภาพบนหน้าของการคนหา จึงเป็นผลดีต่อการทำ SEO โดยตรง

  1. แก้ไข URL ให้สามารถอ่านเข้าใจได้

URL นับว่าเป็นที่อยู่ของเว็บไซต์บนโลกออนไลน์ อย่าปล่อยให้ซอฟแวร์สร้าง URL อัตโนมัติเป็นอันขาด เพราะส่วนใหญ่มักจะสร้างเป็นรหัสตัวเลขที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าใจได้ Google จึงไม่ชอบ URL ที่มีลักษณะแบบนี้ ดังนั้นต้องเปลี่ยน URL ให้สอดคล้องกับเนื้อหา โดยทำให้สั้นและกระชับ เข้าใจง่าย เมื่อนำลิงค์ไปแปะที่ไหนจะได้ดูน่าเชื่อถือ และมีผู้ใช้สนใจกดเข้ามาอ่าน

  1. ใส่ Meta Description 

Meta Description เป็นข้อความส่วนที่อธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับหน้าเว็บไซต์นั้น ๆ โดยจะปรากฏอยู่ใต้หัวข้อในผลลัพธ์การค้นหาของ Google ซึ่ง Meta Description ที่ดีควรประกอบไปด้วยคีย์เวิร์ดของเนื้อหา และมีความยาวประมาณ 150 ตัวอักษร ต้องเขียนให้น่าดึงดูดใจ คนอ่านจะรู้สึกอยากกดเข้ามาดูเนื้อหาเต็มบนหน้าเพจ

  1. สร้าง Backlink ที่มีคุณภาพ

การมี Backlink ที่ดีเหมือนเป็นการสร้างคอนเน็กชั่นที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาบนโลกออนไลน์นั่นเอง ยิ่ง Backlink มีคุณภาพ จะยิ่งทำให้เพิ่มความน่าเชื่อถือ สร้างความน่าสนใจในระบบของ Google มากขึ้น เพราะ Google จะคิดว่ามีคนจำนวนมากกำลังพูดถึงเว็บไซต์ของเรา จึงทำให้ Google อยากดันอันดับขึ้นมาในผลการค้นหานั่นเอง

ทั้งหมดนี้คือแนวทางการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ถูกใจ Google ซึ่งจะยกระดับคุณภาพของเว็บได้อย่างสมบูรณ์ แต่อย่างไรก็ตาม Google เป็นเพียงเครื่องมือหนึ่งทางออนไลน์ แน่นอนว่ามันสามารถสร้างผลลัพธ์ทางการค้นหาที่ดีขึ้นมาได้ แต่อย่าลืมว่าผู้ใช้งานต่างหากที่เป็นผู้ตัดสินว่าหน้าเพจธุรกิจของเรามีคุณภาพหรือไม่ ดังนั้นนอกจากจะใส่ใจวิธีการทางเทคนิคให้ตรงกับมาตรฐานของ Google แล้ว ต้องหมั่นสร้างเนื้อหาที่ดีเพื่อดึงดูดการใช้งานของลูกค้าในระยะยาวด้วย

รวบมาหมด ประโยชน์ของ SEO สำหรับการสร้างธุรกิจออนไลน์

ใครที่อยากทำธุรกิจแบบออนไลน์ แต่ไม่อยากที่จะใช้งบประมาณในการทำการตลาดที่สูง การมองหาแนวทางที่เป็นออร์แกนิก แต่ช่วยในเรื่องของการทำการตลาดในอีกรูปแบบหนึ่งได้เช่นกันอย่างการทำ SEO จึงเป็นทางเลือกที่ไม่ควรพลาด ลองไปดูกันว่าประโยชน์ของ SEO บ้างแล้วทำไมจึงต้องทำ SEO ในยุคออนไลน์แบบนี้

ข้อดีของการทำ SEO เพื่อธุรกิจออนไลน์ 

  • ทำให้มีโอกาสในการขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น ถ้าหากว่าเป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งทางการค้ามากมายก็สามารถที่จะมีโอกาสได้เปรียบคู่แข่งมากกว่าด้วยอันดับของเว็บไซต์ที่เอื้อต่อการเข้าไปกดคลิกชมหน้าเว็บไซต์ โดยผู้คนส่วนใหญ่แล้วก็จะมีการเลือกค้นหาหน้าเว็บไซต์ที่ต้องการอยู่เพียงไม่กี่หน้าเท่านั้น ไม่ได้เลือกค้นหาไปหลายสิบหน้า ดังนั้นการทำ SEO จึงมีประโยชน์แบบสุด ๆ
  • มีความคุ้มค่ามากกว่าการนำเว็บไซต์ไปโฆษณาในหน้าเว็บต่าง ๆ โดยการทำ SEO ที่ประสบความสำเร็จ มีวิธีการทำอย่างถูกต้อง ก็จะเปรียบเสมือนการที่เว็บไซต์ได้รับการโปรโมทอยู่เสมอ ๆ ในหน้าแรก ๆ ของการค้นหาแบบที่ไม่ต้องซื้อพื้นที่ในหน้าการค้นหาเพื่อการโฆษณาเว็บไซต์ในทุก ๆ วัน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วการทำ SEO จึงเป็นวิธีการที่ดีและคุ้มค่ามาก
  • ช่วยเสริมภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ให้โดดเด่นมากขึ้นอย่างชัดเจน ด้วยที่ว่าเป็นเว็บไซต์ที่มีการปรากฏอยู่ในหน้าการค้นหาหน้าแรก ๆ ก็มักจะมีผู้คนให้ความสนใจในจำนวนที่มากกว่า กลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มของผู้บริโภคที่กำลังมองหาสินค้าหรือบริการอยู่ก็จะเกิดความรู้สึกว่าเว็บไซต์ในอันดับต้น ๆ มีความน่าเชื่อถือ น่าจะมีข้อมูลที่ดีที่ตนเองได้กำลังตามหาอยู่จากการกดค้นหาจากคีย์เวิร์ดนั่นเอง 
  • ช่วยพัฒนาเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากการทำ SEO จะประกอบไปด้วยหลากหลายองค์ประกอบด้วยกัน ซึ่งเป็นโครงสร้างภายในเว็บไซต์ ที่จะมีการปรับปรุงให้เป็นประโยชน์กับผู้เข้าชมเว็บไซต์ที่ต้องการมาหาข้อมูลในเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด มีการพัฒนาส่วนต่าง ๆ ทั้งเนื้อหา คีย์เวิร์ด และอื่น ๆ อีกมากมายเพื่อให้สอดคล้องกับคำค้นหาของกลุ่มเป้าหมาย จึงทำให้เว็บไซต์ที่ทำ SEO อย่างถูกต้องนั้นเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและเหมาะสำหรับผู้ชมเว็บไซต์จริง ๆ

จากข้อมูลข้างต้นจะพบว่าประโยชน์และข้อดีของการทำ SEO นั้นมีเยอะมาก บางอย่างเป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจก็อาจมองไม่เห็น ทั้งช่วยส่งเสริมธุรกิจทางอ้อมและทางตรง ใครที่เป็นเจ้าของธุรกิจ เจ้าของเว็บไซต์ที่มีความต้องการอยากวางรากฐานด้านออนไลน์ให้มีความมั่นคงมากขึ้นแล้วล่ะก็ SEO คือหัวใจสำคัญที่จะขับเคลื่อนธุรกิจและเว็บไซต์ของคุณให้ไปข้างหน้า

รวมกลเม็ดการทำ SEO ที่ถูกต้องเพื่อตอบโจทย์การเติบโตของเว็บไซต์

เมื่อพูดถึงวิธีการที่ดีสำหรับเว็บไซต์ เป็นวิธีการสำหรับการขยายตลาด เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย สร้างโอกาสในการขายและทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้น เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึงวิธีการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization อย่างแน่นอน เนื่องด้วยเป็นวิธีการที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ให้เว็บไซต์นั้น ๆ พัฒนาไปสู่การเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพและมีประโยชน์สำหรับผู้ที่เข้าชม โดยจะมีวิธีอะไรที่เป็นกลเม็ดที่น่าสนใจบ้างนั้นตามไปดูกัน

  • ภายในเว็บไซต์จะต้องมีรูปแบบที่ส่วนงาม น่าสนใจดึงดูดผู้เข้าชม ไม่ใช่แต่เพียงรูปแบบของเว็บไซต์ที่นำเสนอผ่านการเข้าเว็บไซต์ด้วยคอมพิวเตอร์เท่านั้นแต่ยังต้องมีการปรับรูปแบบเว็บไซต์ให้มีความเหมาะสมสำหรับการเข้าดูเว็บไซต์ผ่านจอมือถือด้วย เนื่องด้วยในทุกวันนี้ผู้คนจำนวนมากมักมีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองสนใจผ่านโทรศัพท์มือถือเพราะมีความง่าย รวดเร็วและสะดวกสบาย ใช้ได้ในทุกที่ทุกเวลาผ่านช่องทางออนไลน์เพียงแค่มีอินเทอร์เน็ตเท่านั้น
  • ในเว็บไซต์ควรจะมีเนื้อหาที่เป็นเนื้อหาที่สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดอย่างเหมาะสม เป็นเนื้อหาที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่เข้ามารับชมจริง ๆ ในส่วนของข้อมูลที่นำมาลงในเว็บไซต์เป็นบทความควรจะมีการเขียนขึ้นมาใหม่สามารถอ้างอิงข้อมูลสำคัญจากแหล่งต่าง ๆ ได้แต่ไม่ใช่การคัดลอกมาจากต้นฉบับ เพราะจะทำให้เนื้อหานั้น ๆ กลายเป็นเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อการทำ SEO อย่างแน่นอน ซึ่งรูปแบบของการเขียนบทความ SEO ก็จะมีความแตกต่างจากบทความทั่วไป โดยจะมีรายละเอียด การวางคีย์เวิร์ด ความถี่ในการใส่คีย์เวิร์ด การกระจายคีย์เวิร์ดและอื่น ๆ อีกมากมาย ถ้าหากเจ้าของเว็บไซต์มีความเข้าใจในส่วนนี้เป็นอย่างดีก็จะเพิ่มโอกาสในการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 
  • เลือกคีย์เวิร์ดที่มีจำนวนการค้นหาที่สูง ข้อนี้มีความสำคัญมากเพราะคีย์เวิร์ดเป็นเหมือนกุญแจที่จะนำให้ทุกคนสามารถเข้ามาค้นเจอเว็บไซต์ได้ ดังนั้นเจ้าของเว็บไซต์ควรที่จะทำการวิจัยและวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่จะนำมาใช้อย่างเหมาะสมเพื่อก่อให้เกิดคุณภาพและประสิทธิภาพในการทำ SEO ที่ดี
  • มีเครือข่ายของลิงก์จากเว็บไซต์ภายนอกที่มีความน่าเชื่อถือที่มีการอ้างอิงมาที่เว็บไซต์ของทางแบรนด์ ในส่วนนี้ก็จะช่วยทำให้เว็บไซต์มีเครดิตและส่งผลต่อการทำ SEO ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน

จะเห็นได้ว่าวิธีการทำ SEO มีหลากหลายขั้นตอน มีหลายองค์ประกอบ โดยในแต่ละส่วนนั้นสามารถที่จะนำมาแยกย่อยและพัฒนาได้อีกมากมาย ถ้าใครที่เป็นมือใหม่ในการทำเว็บไซต์สามารถที่จะศึกษาหาข้อมูลในการทำ SEO เพิ่มเติม ฝึกอบรมการทำเว็บไซต์หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเว็บไซต์เพื่อตอบโจทย์การทำ SEO สำหรับเว็บไซต์ของคุณได้ตามสะดวก บอกเลยว่ามีความคุ้มค่าอย่างแน่นอน

SEO กับ Awareness ของลูกค้า และรายได้ของธุรกิจที่ไม่อาจมองข้าม

ในการทำธุรกิจทุกประเภท การรับรู้ของลูกค้านั้นเป็นหนึ่งปัจจัยที่เจ้าของกิจการไม่อาจมองข้ามได้เลย โดยเฉพาะในธุรกิจออนไลน์ที่มีตลาดที่ใหญ่แต่มีการแข่งขันที่สูง ซึ่ง Awareness ยุคออนไลน์นั้นมีความเกี่ยวข้องกับการทำ SEO ของธุรกิจอย่างที่สุด การสร้างให้ลูกค้าเกิด Awareness นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าสามารถทำเรื่องนี้ได้ดี โอกาสที่ธุรกิจของเราจะประสบความสำเร็จและสร้างให้เกิดผลตอบแทนที่เป็นกำไรตามเป้านั้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก

Awareness กับการสื่อสารให้ธุรกิจเป็นที่รู้จัก

สร้างให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักในวงกว้าง สิ่งสำคัญของการสร้างการรับรู้หรือการทำให้ลูกค้ามี Awareness กับธุรกิจของเราก็คือการประชาสัมพันธ์ และในธุรกิจออนไลน์ซึ่งเป็นยุคที่ผู้คนจะค้นหาสิ่งต่าง ๆ ผ่านการ Search อย่างนั้นแล้ว ธุรกิจจึงควรทำ SEO เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงและ Aware ได้ว่าธุรกิจของเรานั้นมีอยู่ และพร้อมที่จะนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ดีที่สุดให้ลูกค้า

เปลี่ยนลูกค้าในอนาคตให้เป็นลูกค้าปัจจุบัน ลูกค้าในอนาคตก็คือผู้ที่มีความต้องการในการซื้อสินค้าหรือบริการของเรา ถ้าไม่อยากเสียลูกค้าให้กับคู่แข่ง หน้าที่ของเราคือการทำ SEO เพื่อสร้างการรับรู้ให้ลูกค้าในอนาคตของเราได้รู้จักกับธุรกิจของเราเอง หลังจากนั้นแล้วก็ยิ่งที่จะมีโอกาสมากที่เราจะสามารถเปลี่ยนลูกค้าคนนั้นให้เป็นลูกค้าปัจจุบันที่ซื้อสินค้าของเราได้ง่ายกว่า

Awareness กับการตัดสินใจซื้อและความภักดีต่อแบรนด์

ข้อมูลที่ส่งมอบเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการทำ SEO ไม่ได้มีแค่การสร้างให้เกิดการรับรู้เกี่ยวกับธุรกิจ แต่ยังเป็นการส่งมอบข้อมูลที่สำคัญให้แก่ลูกค้าด้วย ซึ่งข้อมูลคุณภาพที่ว่านี้เอง คือปัจจัยที่จะส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการของเราในที่สุด แน่นอนว่าสิ่งที่ธุรกิจจะได้ก็คือผลกำไรจากการขายนั่นเอง

สินค้าดี การตลาดโดน ลูกค้าประทับใจ สามองค์ประกอบนี้คือหลักการสร้าง Awareness ผ่านการทำ SEO ที่เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจสามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ นั่นหมายความว่าในทุก ๆ ขั้นตอนของการทำธุรกิจผ่านการทำ SEO จะช่วยให้ลูกค้าเกิดการรับรู้ได้ว่าสินค้าของเราดีอย่างไร ได้รู้จักสินค้า บวกกับการทำการตลาด ทำ PR ผ่าน SEO เป็นช่วง ๆ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วจะนำไปสู่การสร้างให้เกิดความประทับใจในแบรนด์และต่อยอดเป็นผลกำไรของธุรกิจต่อไป

เพราะเป้าหมายหลักที่สำคัญของธุรกิจออนไลน์ ก็คือการสร้างผลกำไร และสิ่งที่จะช่วยให้เราเดินทางไปถึงที่หมายได้นั้นก็คือการสร้างให้ลูกค้าเกิด Awareness กับธุรกิจ ผ่านเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพอย่าง SEO

เรื่องที่ไม่ควรทำเกี่ยวกับ SEO ถ้าไม่อยากให้ธุรกิจเฟล

อย่างที่เรารู้กันดีว่าการทำ SEO คือหัวใจสำคัญของการสร้างแบรนด์ที่จะมีส่วนทำให้ธุรกิจออนไลน์ประสบความสำเร็จ แต่การขาดความเข้าใจในหลักของการทำ SEO ที่ถูกต้องของเจ้าของธุรกิจอาจทำให้เกิดปัญหา ที่จนในที่สุดแล้วจากเครื่องมือดี ๆ อาจกลายมาเป็นสิ่งที่ทำให้ธุรกิจของเราเฟลได้ และนี่คือเรื่องสำคัญที่คุณไม่ควรทำเกี่ยวกับ SEO ถ้าไม่อยากให้ธุรกิจออนไลน์เฟล

1. ทำ SEO แล้วหยุดทำ ไม่อัปเดตเว็บ

เจ้าของแบรนด์หรือเว็บไซต์บางคนอาจมีความคิดว่าการทำ SEO คืองานการตลาดออนไลน์ที่เมื่อทำไปแล้วก็คือแล้วกัน หรือเมื่อทำ SEO จนเว็บไซต์ติดอันดับแล้วคือผ่าน ก็เลยหยุดทำไป แต่ความเชื่อนั้นผิดมาก เพราะรูปแบบการให้ความสำคัญกับการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google จะเลือกแสดงเว็บที่มีการอัปเดตบ่อย เว็บไซต์ที่มีความสดใหม่กว่ามักจะได้รับการเลือกให้ขึ้นมาแทนเว็บที่ไม่อัปเดต ถ้าเว็บของเราไม่มีการปรับปรุงเนื้อหาก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังแน่นอน

2. บทความไม่ Original หรือชอบไปคัดลอกมา

เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับการทำ SEO เพราะบางคนอาจคิดว่าหลักการของการทำ SEO คือการเล่นกับ Keyword ยิ่งเว็บมี Keyword มากก็จะยิ่งทำให้ติดอันดับง่าย แต่บอกเลยว่า Google ไม่ได้ไม่รู้ เพราะระบบจะมีแนวทางในการจัดการกับเว็บไซต์ที่ชอบคัดลอกบทความและรูปภาพของคนอื่นมาใช้ ต่อให้ลอกมาได้ ไม่นานเว็บก็จะถูกถอดออกและโดนลบไปตามข้อกำหนดตามเรื่องของลิขสิทธิ์ วิธีแก้ก็คือหากเราจำเป็นต้องเอาบทความหรือรูปภาพจากที่ไหนมาใช้ ให้ทำการขออนุญาตเจ้าของก่อนให้เรียบร้อย หรือเลือกใช้วิธีการทำ Backlink ไปยังบทความต้นฉบับให้ถูกต้อง สำหรับกรณีของภาพ ให้เลือกจากแหล่งภาพแจกฟรีหรือซื้อภาพถูกลิขสิทธิ์มาใช้เพื่อความอุ่นใจจะดีกว่า

3. กระหน่ำโพสต์โดยไม่ดูเรื่องคุณภาพ

สำหรับข้อนี้ให้นึกถึงพวกเว็บที่ถูกใช้ในการประกาศขายสินค้า ที่เจ้าของธุรกิจหลายคนชอบเข้าไปกระหน่ำอัปเดตฝากร้าน โปรโมทสินค้าหรือบริการแบบไม่พัก การขยันโพสต์อาจดูเป็นเรื่องดีที่จะช่วยเพิ่ม Backlinks ได้ แต่ถ้าเล่นโพสต์ไปเรื่อยลงในเว็บที่ไม่มีคุณภาพ และมีการ Copy วางแบบเป๊ะ ๆ ทุกตัวอักษร อาจพาเราไปสู่ปัญหา Spam Backlinks ที่เมื่อ Google ตรวจเจอ ก็จะค่อย ๆ ลดอันดับของเว็บไซต์ของเราลงเรื่อย ๆ จนหายไปจากหน้าแรกในที่สุด

พอได้รู้แบบนี้แล้ว เจ้าของธุรกิจคนไหนที่ยังใช้วิธีการทำ SEO แบบนี้อยู่ เห็นทีต้องรีบเปลี่ยนกลยุทธ์การทำการตลาดออนไลน์ใหม่แล้ว มาปรับรูปแบบการใช้ SEO ใหม่ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำอย่างต่อเนื่อง และทำให้ถูกวิธี รับรองว่าธุรกิจออนไลน์ไปได้ไกลแน่นอน

เทคนิคสร้าง SEO ให้ได้ผลจริง

SEO (Search Engine Optimization) คือวิธีการปรับการแต่งเว็บไซต์ ทั้งการปรับปรุงเนื้อหา และการเพิ่ม Backlink หรือลิงค์คุณภาพมายังเว็บไซต์เพื่อโปรโมทเว็บไซต์ให้ติดอันดับต้น ๆ ของ Search Result Page ซึ่งเป็นหน้าการแสดงผลการค้นหา ซึ่งเมื่อกรอก Keyword หรือคำค้นหาที่ต้องการผ่าน Search Engine หรือเครื่องมือการค้นหา อย่าง Google, Yahoo!, Bing ซึ่งเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มผู้เข้าชมเว็บไซต์

แต่ละ Search Engine ก็มีหลักการที่ไม่ต่างกันนัก นั่นคือการใช้ User Experience (UX) หรือการมอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุด การทำ SEO ตามหลักของ Google จึงเป็นการทำเว็บไซต์ให้มีคุณภาพ มีข้อมูลตรงตาม Keyword ที่ใช้ค้นหา และยังส่งผลของการทำ SEO ใน Search Engine อื่น ๆ ด้วย

Keyword คือคำหรือวลีที่ผู้คนใช้ค้นหาสิ่งที่ตนเองต้องการด้วย Search Engine ทั้งสินค้า บริการ ปัญหา หรือความต้องการอื่น ๆ เมื่อทำการเสิร์ชอะไรบางอย่าง แล้วในเว็บไซต์มีประโยคที่มี Keyword อยู่ เว็บไซต์นั้นก็จะแสดงบนหน้าของ Search Engine เมื่อเข้าใจพฤติกรรมการค้นหาของกลุ่มเป้าหมาย ก็จะช่วยให้สามารถเลือก Keyword ได้ถูกต้อง ตรงกับกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด ทำให้เว็บไซต์เป็นที่รู้จัก และมีผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้มากขึ้น

ประเภทของ Keywords

  • Generic Keyword หรือ Keyword ทั่วไป เป็นคำหรือวลีกว้าง ๆ ไม่เฉพาะเจาะจง ควรเป็นคำที่มีปริมาณการค้นหาสูงมาก ข้อดีคือช่วยให้เว็บไซต์สามารถติดอันดับได้ง่าย ทำให้เว็บไซต์ และธุรกิจเป็นที่รู้จักได้มากขึ้น แต่โอกาสติดอันดับต้น ๆ ค่อนข้างยาก เพราะเป็นคำที่มีปริมาณการค้นหาสูง ทำให้มีคู่แข่งมากตามไปด้วย
  • Niche Keyword เป็นการกำหนด Keyword ที่แคบขึ้นมาอีกเล็กน้อย ข้อดีคือทำให้เจาะกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงได้ดีขึ้น ตรงตามความต้องการของผู้เสิร์ชมากขึ้น สร้างโอกาสในการขายได้ดีขึ้น และช่วยลดคู่แข่งได้ดีกว่าการใช้ Generic Keyword
  • Longtail Keyword เป็น Keyword ที่เฉพาะเจาะจงตรงตามความต้องการของผู้เสิร์ชอย่างชัดเจน แม้ปริมาณการค้นหาจะต่ำก็ตาม อาจเรียกได้ว่าเป็น Keyword ที่สามารถทำเงินได้ดี เพราะผู้เสิร์ช Keyword กลุ่มนี้ คือผู้ที่มีความต้องการสินค้าและบริการอย่างชัดเจนแล้ว

ขั้นตอนการเขียนบทความที่ดีต่อ SEO

  1. เลือกหัวข้อที่จะเขียน ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจ เพราะการคลิกเลือกเว็บไซต์จะเลือกจากหัวข้อที่สนใจก่อน
  2. ค้นหาคีย์เวิร์ดที่คนใช้เสิร์ชมาก ๆ และตรงกับเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอ โดยลองพิมพ์คำที่สนใจบนช่องการค้นหาของ Google และดูคำยอดนิยมที่แสดงขึ้นมา ทำให้ทราบปริมาณการค้นหาคีย์เวิร์ดนั้น ๆ รวมถึงคำใกล้เคียงกันด้วย
  3. เขียนเนื้อหาที่ครอบคลุมกับ Keyword และมีความยาวของบทความที่ไม่สั้นจนเกินไป เนื้อหาควรครอบคลุมหลาย ๆ คีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง โดยมาก Google ค่อนข้างชอบบทความที่ค่อนข้างยาว เพราะสามารถทำความเข้าใจเนื้อหาของบทความได้ดีกว่าบทความสั้น ๆ
  4. เขียนคอนเทนต์คุณภาพที่สร้างประโยชน์ต่อผู้อ่านไม่เขียนย่อหน้าแรกยาวมากเกินไป จนไม่ดึงดูดใจของผู้อ่าน อาจใช้มีเดียอื่น ๆ อย่าง รูปภาพ วิดีโอ หรือพอดแคสต์
  5. นำคีย์เวิร์ดที่ต้องการมาใช้กับคอนเทนต์ ใส่คีย์เวิร์ดในส่วนต่าง ๆ ของบทความ หรือใส่คีย์เวิร์ดไว้ในลิงก์ URL หรือรูปภาพก็ได้
  6. การแชร์บนโซเชียลมีเดียอื่น ๆ เพื่อเพิ่มช่องทางในการเข้าถึงบทความนั้น ๆ เพิ่มโอกาสการเข้าชมมากขึ้น
  7. การวิเคราะห์ผลลัพธ์ วิเคราะห์ผลลัพธ์ผ่าน Google analytics เพื่อดูพัฒนาการของเว็บไซต์ และหาทางปรับปรุงต่อไป

SEO และ SEM ต่างกัน ควรโฟกัสแบบไหนให้ตอบโจทย์ที่สุด

เทคนิคการทำ SEO (Search Engine Optimization) เป็นการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับแรกของผลการค้นหาใน Google ด้วยปรับแต่งปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลต่อกับจัดอันดับโดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา แตกต่างจาก SEM (Search Engine Marketing) ซึ่งเป็นการทำการตลาดแบบลงโฆษณาและเสียเงินตามจำนวนคลิกเข้าสู่เว็บไซต์ มาดูกันเลือกแบบไหนคุ้มค่าและตอบโจทย์คุณที่สุด

เปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของ SEO และ SEM

การทำงานของ SEO มีข้อดีคือการทำตลาดแบบธรรมชาติ ไม่ต้องเสียค่าคลิกโฆษณาเข้าสู่เว็บไซต์ ไม่ว่าคนจะคลิกเข้ามากเท่าไรก็ไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณา ข้อเสียคือต้องอาศัยมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาปรับแต่ง SEO อย่างต่อเนื่องและใช้เวลานานกว่าที่จะไต่อันดับขึ้นมาหน้าแรกจึงจะได้รับการจัดอันดับดีขึ้น ถ้าพูดถึงความคุ้มค่าต่อการลงทุน การทำ SEO จะช่วยเพิ่มยอดขายต่อเนื่องในระยะยาว วิธีการทำตลาดแบบธรรมชาติคือการปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้สวยงามใช้งานง่าย เนื้อหาบทความมีคุณภาพ ให้ประโยชน์กับผู้อ่าน เครื่องมือค้นหาได้ง่าย และรองรับการใช้งานบนสมาร์ทโฟนได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม ปัจจัยการจัดอันดับของ Google จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ต้องปรับปรุงเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้อันดับตกต่ำลง ถ้าหยุดทำ SEO เมื่อไรอันดับก็จะตกลงเช่นเดียวกัน

การทำงานของ SEM คือการลงโฆษณาผ่านระบบ Google Ads ต้องประมูลคีย์เวิร์ดเพื่อให้โฆษณาแสดงผลการค้นหาบนหน้าแรก โดยจะมีค่าโฆษณาตามจำนวนคลิกเข้าเว็บไซต์ ซึ่งหมายความว่าคุณจะจ่ายค่าโฆษณาเมื่อมีการคลิกเกิดขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดคีย์เวิร์ดที่ต้องการลงโฆษณาด้วยตัวเอง ทั้งยังเปลี่ยนคีย์เวิร์ดใหม่และเพิ่มจำนวนคีย์เวิร์ดได้เองอีกด้วย ผลลัพธ์ที่ได้คือโฆษณาจะขึ้นแสดงผลบนหน้า Google รวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง หากต้องการเพิ่มจำนวนคลิกเข้าเว็บไซต์ต้องเพิ่มงบโฆษณามากขึ้น ข้อดีอีกอย่างของ SEM คือการประมูลคีย์เวิร์ดนั้นกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้เฉพาะเจาะจงมากกว่า ระบุเพศ อายุ จังหวัด ที่ต้องการได้ แต่การซื้อโฆษณาเป็นระบบประมูล ถ้าคู่แข่งเพิ่มราคาทำให้ต้องเสียเงินค่าคลิกแพงขึ้น ไม่เช่นนั้นอันดับการแสดงผลการค้นหาบน Google จะลดลง หรือหยุดจ่ายค่าโฆษณาเมื่อไรเว็บไซต์จะไม่แสดงผลบน Google

ถึงตอนนี้คงพอเข้าใจความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM แล้ว ในกรณีที่ต้องการให้โฆษณาบน Google ประสบความสำเร็จมากที่สุดควรทำกลยุทธ์ SEO และ SEM สนับสนุนกันและกัน หากธุรกิจของคุณมีเงินทุนไม่มากพอแนะนำให้พิจารณาเลือกใช้วิธีการแบบใดแบบหนึ่งไหนที่ตอบโจทย์ธุรกิจมากที่สุด แต่ถ้ามีงบประมาณพอสำหรับการทำ SEO และ SEM ควบคู่กันและหาทางใช้ประโยชน์จากทั้งสองช่องทาง เช่น วิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่มีประสิทธิภาพจากโฆษณาบน SEM นำมาใช้ประโยชน์ในการทำ SEO ได้ ขณะเดียวกันก็ใช้คำค้นหาจาก SEO ไปใช้ในการทำ SEM ได้เหมือนกัน วิธีนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับบน Google ได้ดีและเกิดประโยชน์มากขึ้น

ธุรกิจทำ SEO ผ่านช่องทางสื่อประเภทใดบ้าง

ธุรกิจทุกวันนี้อาศัยการทำ Search Engine Optimization หรือ SEO กันมากขึ้นเพื่อให้แบรนด์สินค้าหรือบริการเป็นที่รู้จักกว้างขวาง โซเชียลมีเดียเป็นส่วนสำคัญที่ธุรกิจใช้เป็นช่องทางโปรโมทแบรนด์ให้เข้าถึงลูกค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย มาดูกันว่าสามารถทำ SEO ผ่านช่องทางสื่อประเภทใดบ้าง

1.การทำ SEO ลงบนเว็บไซต์ เป็นรูปแบบที่พูดถึงกันมากที่สุด เพราะเป็นรูปแบบการทำตลาดที่มีระยะเวลายาวนานกว่า มีความยั่งยืนมากกว่าสื่อเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ และอื่นๆ การทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ หรือติดอันดับหน้าแรกบน Google สร้างคุณค่าให้เห็นว่าเว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือและการโฆษณามีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่เลือกทำ SEO ลงบนเว็บไซต์เพื่อกระตุ้นความต้องการซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปกติแล้วการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีจะใช้เวลาค่อนข้างนานระหว่าง 4-6 เดือนหรือบางรายอาจใช้เวลานานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความชำนาญในการทำ SEO ทั้งการเลือกคีย์เวิร์ดที่เข้าถึงลูกค้า การเขียนบทความลงเว็บไซต์ที่น่าอ่านและดึงคนติดตามจำนวนมาก รวมไปถึงกลยุทธ์ SEO อื่นๆ เพื่อให้เว็บไซต์ติดอันดับที่ดีกว่าคู่แข่ง

2.การทำ SEO บน Facebook Fanpage การทำ SEO ไม่ได้ทำบนเว็บไซต์เท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับโซเชียลมีเดียช่วยให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักมากขึ้นได้เช่นกัน หมายความว่าการทำเว็บไซต์พร้อมกับลิงก์ไปบนเฟซบุ๊กแฟนเพจทำให้กลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่ามีส่วนร่วมมากขึ้น เพราะได้แสดงความคิดเห็นและการสื่อสารหลายช่องทาง ทั้งการแชท เสียง รูปภาพ และวิดีโอ ทำให้ Facebook Fanpage ได้รับความนิยมมาก แพลตฟอร์มเฟซบุ๊กสามารถกระตุ้นยอด Like, Share หรือ Comment ทำให้โพสต์ต่าง ๆ ถูกส่งต่อออกไปให้คนได้เห็นในวงกว้าง นอกจากนี้ทั้งบทความ รูปภาพ และวิดีโอที่โพสต์ลงบนเฟซบุ๊กสามารถลิงก์กับเว็บไซต์ได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังเป็นการเสริมความน่าเชื่อถือของแบรนด์ในคราวเดียวกันด้วย 

3.การทำ SEO บน Youtube การโฆษณารูปแบบวิดีโอมีทั้งภาพและเสียงทำให้ผู้ชมรับรู้ได้เร็วกว่าการอ่าน โดยปกติอ่านบทความยาวหนึ่งหน้ากระดาษใช้เวลาหลายนาที ดูภาพหรือฟังเสียงก็ยังใช้เวลานานกว่า แต่ถ้าดูวิดีโอบนยูทูบเพียงไม่กี่วินาทีก็เข้าใจ เหมาะกับการทำวิดีโอเสนอขายสินค้าหรือบริการ วิดีโอบนยูทูบสามารถโปรโมทแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายอย่างรวดเร็วหลังจากมีการแชร์วิดีโอออกไปทำให้มีผู้คนรับรู้และเข้าชมจำนวนมาก ถือเป็นช่องทางการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพ หากต้องการข้อมูลแบบละเอียดค่อยเข้าเว็บไซต์ไปอย่างเนื้อหาฉบับเต็มได้ในภายหลัง 

กลยุทธ์การทำ SEO รองรับการทำตลาดออนไลน์หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นบทความ รูปภาพ หรือวิดีโอที่จัดทำขึ้นอย่างพิถีพิถัน จึงควรทำโฆษณาเชื่อมต่อทุกแพลตฟอร์มเข้าด้วยกันจะยิ่งเป็นประโยชน์ ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มคนได้ง่ายและตรงกับความสนใจของลูกค้าเป้าหมาย ยิ่งมีคนสนใจเข้ามาดูสินค้าหรือบริการมากขึ้นก็ยิ่งมีโอกาสเพิ่มยอดขายมากขึ้นในอนาคต

“SEO” อาชีพในฝันของใครหลายๆคน

หากย้อนไปประมานสัก 40 ปี จะรู้กันดีว่าค่านิยมของคนในยุคสมัยก่อนนั้น จะนิยมให้ลูกหลานตั้งใจเรียบและดันให้เรียนเก่งๆ เพื่อจบมาจะได้เข้ารับราชการมีเดือนประจำ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นงานที่น่าทำเป็นอย่างมาก มีทั้งชื่อเสียงเรื่องวงตระกลู รวมถึงความมั่นคงทางด้านการเงิน และผลประโยชน์อื่นๆอีกหลายอย่าง โดยอาชีพราชการนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือระบบบริหารประเทศ เนื่องจากงานราชการเป็นงานในส่วนของภาครัฐ เลยทำให้มีผู้คนพยายามถีบตัวเองและครอบครัวให้ได้บรรจุในอาชีพข้าราชการ ไม่ว่าจะเป็นทหาร, ตำรวจ, ครู และอาชีพอื่นๆอีกมากมาย

ถัดมาก่อนยุคอินเตอร์เน็ตจะเกิดขึ้นนั้น ฐานเงินเดือนของข้าราชการเริ่มนิ่งอยู่กับที่และไม่ค่อยมีความก้าวหน้าในอาชีพ ทำให้ค่านิยมของผู้คนเริ่มหันมาดันให้ลูกหลานเรียนจบสูงๆ เป็นด็อกเตอร์ เป็นหมอ เป็นวิศวะกร เพื่อสามารถทำธุรกิจและทำให้ได้มีรายได้สูงขึ้นกว่าอาชีพข้าราชการธรรมดาๆ จึงเป็นอีกหนึ่งกลุ่มอาชีพที่มีความน่าสนใจ แต่พอยุคปัจจุบันมีอินเตอร์เน็ตเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันของทุกคน ก็เกิดเป็นอาชีพใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ และ 1 ในอาชีพนั้นก็คืออาชีพโปรแกรมเมอร์ อาชีพที่ทำการตลาดออนไลน์ อาชีพรับจ้างดูแลเว็บไซต์ต่างๆ รวมไปถึงอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจไม่แพ้กันคืออาชีพ “SEO” ที่อยู่ในกลุ่มการตลาดออนไลน์

“SEO” อาชีพนี้ ดีอย่างไร มีผู้คนสงสัยกันมา เริ่มต้นจากทำไมคนถึงสนใจกันเยอะขนาดนี้ และจะมีเยอะขึ้นทุกๆวัน ซึ่งงานหลักๆของการทำ Seo นั้น มันคือการใช้หลักความน่าจะเป็นที่จะต้องรู้จักฝึกความคิด  ว่าการจะทำเว็บไซต์นั้นควรออกมาในรูปแบบไหน รวมถึงเขียนบทความต่างๆว่าจะสื่อให้คนเสิร์ชเข้ามาดูแล้วรู้เรื่องยังไง และให้ถูกใจ Web Search Engine ที่ต้องการจะทำอันดับเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกของผลการค้นหาด้วย เพื่อให้ได้ลูกค้าจากการค้นหาหน้าเว็บ Search Engine ในปัจจุบันนี้ Google ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก และมีคนใช้งานมากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะค้นหาผ่าน Google ถ้าหากเรามีความสามารถในการทำอันดับเว็บไซต์เราให้ต้นหน้าแรกของ Google ได้ รับรองว่าไม่มีการตกงานแน่นอน หรือแม้แต่ถ้าไม่มีใครเข้ามาจ้าง เราก็สามารถสร้างรายได้จากการทำ Seo ของเราด้วยการโฆษณานั่นเอง นี่คือหนึ่งช่องทางการตลาดออนไลน์ที่ดีที่สุดและมีผู้คนหลายคนพยายามฝึกตัวเอง เพื่อที่จะให้ก้าวมาถึงจุด “มือโปรเอสอีโอ” ให้ได้ ถามว่าดียังไงนั้นหรือ คือมีหลายบริษัทชั้นนำทั่วโลกที่พยายามหานักทำ Seo เก่งๆมือโปรมาร่วมทีม เพื่อที่จะเพิ่มยอดขายกับทางบริษัท 

โดยที่ Seo นั้นแบ่งออกเป็น 2 สาย คือ “สายขาว” ที่ทำให้งานให้กับบริษัทถูกกฏหมายและมีหลักแหล่ง ส่วนอีกสายคือ “สายเทา” หรือ “สายดำ” ที่คอยทำงานให้กับบริษัทเกี่ยวกับการพนัน ซึ่งผลตอบแทนหรือเงินที่จะได้รับนั้นมากกว่าทำงานสายขาวหลายเท่าตัว ถ้าหากยังไม่เห็นภาพจะยกตัวอย่างให้ดู อย่างเราทำหน้าที่เป็น SEO ให้กับบริษัทการพนันออนไลน์แบบครบวงจร ก็จะทำเกี่ยวกับการวิเคราะห์บอลให้ทีเด็ดบอลเต็งบอลสเต็ป รวมถึงการสร้างสูตรเล่นคาสิโนและสูตรเล่นสล็อต เป็นต้น พอนักลงทุนที่เข้ามาแล้วได้เสียเราก็จะรายได้จากตรงนี้เพิ่มเติมอีกส่วนไม่รวมเงินเดือนที่จ้าง ต่างกันกับการที่เราทำให้บริษัทที่ถูกกฏหมายก็จะได้เงินเดือนตามที่กำหนดและไม่มีนอกมีในให้เหมือนกับ “สายเทา” หรือ “สายดำ” นั่นเอง