3 เหตุผลที่เจ้าของสินค้าควรทำ SEO

SEO คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีโครงสร้างและสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งาน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่ Google แนะนำ ตามปกติแล้วในหน้าผลการค้นหาแต่ละหน้า จะมี 10 อันดับ แต่ว่าอัลกอริทึมของ Google นั้นก็มีการอัปเดตและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น อันดับในเว็บไซต์จึงมีโอกาสถูกปรับเปลี่ยนได้เสมอ ซึ่งหากใครได้อยู่อันดับหนึ่งหรืออย่างน้อยติดอันดับในหน้าแรก ก็จะได้ประโยชน์ทางธุรกิจอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาบอก 3 เหตุผลที่เจ้าของสินค้าควรทำ SEO ดังต่อไปนี้

เหตุผลที่ 1 ทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของเจ้าของสินค้า
การเขียนบทความเข้าไปบนเว็บไซต์ ช่วงแรก Google จะยังไม่ทราบว่าเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับสินค้าอะไรเป็นพิเศษ เจ้าของสินค้าจึงจำเป็นต้องทำ SEO และเน้นการทำบทความสินค้าที่น่าอ่าน ให้ประโยชน์กับผู้ใช้ ทั้งนี้ต้องมีการค้นคว้าคีย์เวิร์ดที่ผู้คนนิยมค้นหาด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสการถูกค้นเจอได้ง่าย การใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้องและการทำเนื้อหาที่ดีมีคุณภาพ จะทำให้เกิดการแชร์เนื้อหาต่อไปยังแหล่งอื่น ๆ ในอินเทอร์เน็ต ก็จะยิ่งทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของเจ้าของสินค้ามากขึ้น และเมื่อ Google เริ่มให้ความน่าเชื่อถือแล้ว เว็บไซต์ก็จะมีโอกาสถูกจัดอันดับในผลการค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องมากขึ้นเรื่อย ๆ

เหตุผลที่ 2 SEO ช่วยทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา
การที่เจ้าของสินค้าหลายคนสงสัยว่า ทำไมต้องทำ on page optimization คำตอบคือทำให้เกิดประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า Good User Experience ยิ่งเว็บไซต์ขายสินค้าสร้างประสบการณ์ที่ดีมากเท่าไหร่ เนื้อหาของเว็บไซต์นั้นก็มีโอกาสติดอันดับหน้าแรกมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้เจ้าของสินค้าหลายคนยังสงสัยอีกว่า ทำไมต้องทำ Off page optimization ด้วย คำตอบคือทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Authority หรือความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับเช่นเดียวกัน หากเว็บไซต์สินค้าใดมีค่า Authority มาก โอกาสที่เว็บไซต์นั้นจะถูกนำแสดงในหน้าแรกหรืออันดับต้น ๆ ก็เพิ่มมากขึ้น

เหตุผลที่ 3 เนื้อหาที่อัปเดตทันสมัย จะเป็นที่ถูกใจของ Google
ในกระบวนการทำ SEO นั้น จะต้องมีการอัปเดตเนื้อหาใหม่ ๆ นำเสนออย่างต่อเนื่อง โดยเกี่ยวกับข้อมูลสินค้าและบริการ เช่น แนะนำการใช้งาน หรือเสนอข่าวสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เว็บไซต์ดูมีความเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ และมีทราฟฟิกหรือผู้ชมในอัตราคงที่หรือเพิ่มขึ้น ซึ่ง Google จะให้ความสนใจเว็บไซต์ที่มีความเคลื่อนไหวอยู่สม่ำเสมอ ดังนั้น SEO จึงเป็นสิ่งที่เจ้าของสินค้าควรใส่ใจและวางแผนทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ Google มองว่าเป็นเว็บที่กำลังดำเนินงานอยู่ และมีโอกาสถูกจัดอันดับในผลการค้นหาที่ดีขึ้นด้วย

นอกเหนือจากการทำ SEO แล้ว เจ้าของสินค้าต้องไม่ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือคุณภาพของสินค้าหรือบริการ เพราะหากติดอันดับหน้าแรกได้แล้ว แต่ถ้าสินค้าไม่สนองความต้องการ หรือไม่ถูกใจผู้บริโภค การติดอันดับหน้าแรกก็จะไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจมีกำไรนัก ในทางตรงกันข้าม หากสินค้าคุณภาพดีถูกใจผู้ใช้ การติดอันดับหน้าแรกก็จะกลายเป็นแรงบวก ส่งผลให้สร้างยอดขายได้มากขึ้น

SEO ช่วยเพิ่มโอกาสด้านไหนบ้างในหลักธุรกิจยุคใหม่

การตลาดออนไลน์ที่คุณเห็นข้อมูลมักจะเห็นทาง Facebook Youtube เป็นส่วนใหญ่ แต่การตลาดทาง Google นั้นก็สามารถทำได้เช่นกัน เพราะเป็น Search Engine ที่มีการใช้งานมากที่สุดในโลก โดยสถิติในแต่ละวันมีการค้นหาถึง 35 ล้านครั้งต่อวัน หมายความว่า มีกลุ่มลูกค้าที่คุณสามารถเข้าถึงได้ในจำนวนมหาศาล เมื่อมีการทำ SEO จะมีอัลกอริทึม (Algorithm) วัดว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพหรือไม่ เช่น คนเข้ามาดูเยอะรึเปล่า เนื้อหาถูกต้องหรือเหมาะสมและมีการหลอกลวงหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือกับเว็บของคุณได้ โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีผู้คนเข้ามามากมายในแต่ละวัน

การขยายตลาดจากพฤติกรรมค้นหาผู้ใช้

การเพิ่มช่องทางการตลาดสามารถโปรโมทด้วยการทำ SEO ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจหรือการขายสินค้าได้ หมายความว่า หากมีคนเข้าเว็บไซต์ประมาณ 10,000 คน ก็อาจมีการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการถึงหลักร้อยคน ยิ่งถ้าเว็บไซต์มีจุดเด่น ก็จะทำให้ผู้คนรู้จักมากขึ้นไปอีก จนเป็นที่รู้จักในประเทศและยังสามารถขยายไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ถึงแม้ว่าการทำ SEO อาจจะใช้เวลานานแต่ก็มีประสิทธิภาพในการโปรโมทหรือการทำการตลาดโดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเว็บไซต์ ซึ่งจะดีกว่าเมื่อมีการเปรียบเทียบในด้านค่าใช้จ่ายกับการโปรโมทด้วยวิธีอื่นหรือการยิงแอดแบบคีย์เวิร์ด เช่น หากมีธุรกิจหนึ่งที่เกี่ยวกับการขายรองเท้ากีฬา แล้วลูกค้าที่ซื้อรองเท้ากีฬาก็จะค้นหาว่า “รองเท้ากีฬาผู้ชาย” ‘รองเท้าเตะฟุตบอล” “รองเท้าฟิตเนส” เจ้าของธุรกิจที่ขายรองเท้ากีฬาก็จะซื้อโฆษณาจากระบบ เช่น Google Ads โดยใช้คำที่ลูกค้านิยมค้นหาไปตั้งค่าไว้ ถ้าโฆษณาขึ้นแสดงและถูกคลิก ก็จะจ่ายค่าโฆษณาแบบต่อ 1 คลิก ในทางตรงข้าม การทำ SEO สามารถแสดงเว็บไซต์ในหน้าผลการค้นหาแบบธรรมชาติอยู่แล้ว และไม่ต้องเสียเงินเมื่อถูกคลิก ในระยะยาวจึงประหยัดกว่านั่นเอง

ลูกค้าตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ได้วางไว้

เมื่อเว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักแล้ว ก็จะช่วยให้ได้ลูกค้าตรงตามกลุ่มเป้าหมาย เช่น คีย์เวิร์ด คำว่า “ผลบอลเมื่อคืนแมนยู” กลุ่มเป้าหมายที่จะมาดูเว็บนั้น จะตรงกลุ่มกว่าการค้นหาผ่านคำกว้าง ผลบอลเมื่อคืน ผลบอลเมื่อวาน แต่แน่นอนเราควรมีข้อมูลหน้าเว็บให้สอดคล้องกับคีย์ด้วย ไม่เช่นนั้นผู้ใช้จะเข้ามาแล้วปิดเว็บทิ้งไปในเวลาอันสั้น โอกาสเสนอโฆษณาต่างๆจะน้อยลง นอกจากนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเหนือคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน เนื่องจากการทำ SEO จะทำให้ได้พบกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวางมากกว่าการเปิดร้านอย่างเดียวโดยที่ไม่ทำ SEO

นี่คือแนวทางที่สามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณได้ทำเลที่ดีหรือติดหน้าแรกของผลการค้นหา ซึ่งจะส่งผลดีในการเพิ่มโอกาสด้านต่าง ๆ ที่เราได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ดังนั้น การทำ SEO ปรับปรุงหน้าเว็บไซต์เพื่อให้เหมาะสมกับ Search Engine จึงมีความสำคัญในการจัดอันดับให้ดีขึ้น ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจได้รวดเร็วและยั่งยืน

วิธีทำ Content ทรงคุณค่าด้วย SEO ปี 2020

Content เป็นคำที่ได้ยินบ่อยมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งนักการตลาดหลายคนให้ความสำคัญกับ Content มากเพราะ Content เป็นเครื่องมือการตลาดที่ช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาหาและยังเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตัวแบรนด์ ทำให้นักการตลาดหรือนักขายของออนไลน์ในปัจจุบัน ต่างใช้เวลาในการสร้างคอนเทนต์ให้ดีที่สุด

Content หรือ คอนเทนต์ คือ การสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ด้วยเรื่องราวหรือคุณประโยชน์บางอย่างที่ทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรู้สึกถึงความคุ้มค่า มีที่มาที่ไปและช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

ในช่วงปีที่ผ่านมากเทรนด์การทำคอนเทนต์มีเป้าหมายเพื่อสร้างความประทับใจเพื่อให้ลูกค้ากดแชร์เนื้อหาเหล่านั้นไปยังบุคคลอื่นที่อยู่ใน Social Media ต่อไป แต่ในปีนี้เทรนด์ในการสร้างคอนเทนต์มีเป้าหมายเพื่อสร้างคอนเทนต์ทรงคุณค่า เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากที่สุด โดยวิธีทำ Content ทรงคุณค่าด้วย SEO ปี 2020 มีดังนี้

ทำ Content 2020

สร้าง Content ที่มีจุดแข็ง การเขียนคอนเทนต์ที่มีจุดแข็งจะเป็นการเขียนเพื่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเท่านั้น โดยอาจใช้วิธีการเขียนที่มีจุดเด่นผสมผสานเพื่อให้เกิดความน่าสนใจมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนคอนเทนต์เรื่องยาก ๆ ที่คนธรรมดาเข้าใจได้ยากให้กลายเป็นคอนเทนต์ที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย หรือคอนเทนต์ที่เปลี่ยนมุมมองของเรื่องราวธรรมดา ๆ ให้มีเรื่องราวที่น่าสนใจ เป็นต้น

ตั้งหัวข้อ Content ด้วยหลัก 4W1H ในความเป็นจริงแล้วหลักการ 4W1H เป็นหลักการเขียนพื้นฐานที่เราต่างได้เรียนรู้มาในตอนที่เป็นนักเรียน ซึ่ง 4W1H คือ วิธีการเขียนเนื้อเรื่องด้วยการตั้งคำถามโดยใช้ What, Where, When, Why และ How (อะไร, ที่ไหน,เมื่อไหร่, ทำไมและอย่างไร) ซึ่งการตั้งคำถามด้วยหลักการนี้จะเป็นการตอบรับกับระบบ AI ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาใน Search Engine ด้วย จึงทำให้บทความที่ใช้หลักการนี้จึงมีเปอร์เซ็นต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine เพิ่มขึ้นด้วย

เขียนเนื้อหาคอนเทนต์โดยอิงประสบการณ์ ประสบการณ์เป็นสิ่งที่มีมูลค่าและสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้อ่านได้เป็นอย่างดี ทำให้การเขียนคอนเทนต์ที่อิงประสบการณ์ผสมผสานกับหลัก SEO จะทำให้บทความติดอันดับง่ายขึ้นและมีความน่าสนใจมากพอที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะเข้าสู่เว็บไซต์เพื่ออ่าน

อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ การเขียนคอนเทนต์ที่มีคุณค่า ควรเป็นคอนเทนต์ที่นำข้อมูลที่มีแหล่งที่น่าเชื่อถือได้มาอ้างประกอบบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบว่าเนื้อหาที่กำลังอ่านอยู่นั้นมีข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใด

นอกจากวิธีการเขียนคอนเทนต์ที่ทรงคุณค่าแล้ว การจัดเรียงเนื้อหาให้อ่านง่ายและใช้ภาพประกอบที่น่าสนใจ จะทำให้บทความน่าอ่านมากขึ้น รวมถึงการผสานการทำ SEO จะทำให้บทความเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายกว่าด้วย

วิธีทำ Content ทรงคุณค่าด้วย SEO ปี 2020

อยากให้เว็บไซต์เติบโตต้องรู้เทคนิคเลือก Keyword SEO และการเช็คผล

การทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จได้ดีนั้น จะต้องให้ความสำคัญกับ keyword SEO ที่ใช้เขียนบทความ ที่ต้องตรงกับการสืบค้นจริงของลูกค้าเป้าหมาย หากใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่เป็นที่นิยมก็ทำให้เสียเวลาในการเขียนบทความไปโดยเปล่าประโยชน์ และทำให้พลาดโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจกับเว็บไซต์อื่นด้วย

keyword SEO ที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้

1. เป็น Niche Long-tailed keyword

คือ ต้องมีการผสมคำสำคัญอย่างน้อย 3 คำเข้าด้วยกัน เพื่อการสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้เจาะจงยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ต้องการขายสินค้าแฟชั่นสไตล์เกาหลี ก็ควรที่จะใส่รายละเอียดลงไปให้ชัดเจน คือ “เสื้อแฟชั่น+เกาหลี+ผู้หญิง+ยี่ห้อ” เป็นต้น จะทำให้โอกาสที่จะมีคู่แข่งใช้คีย์เวิร์ดเดียวกันน้อยกว่าการใช้คำสั้น ๆ อย่าง “เสื้อแฟชั่น”

2. ใช้เครื่องมือในการวัดคุณภาพของ SEO

ตัวอย่างสำคัญ เช่น MOZ BAR ซึ่งสามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งใช้คู่กับ Chrome ได้ โดยหลังจากที่ดาวน์โหลดแล้วจะปรากฏข้อมูลที่สำคัญหลายอย่าง ซึ่งค่า DA PA จะช่วยให้เลือกคีย์เวิร์ดได้ดีขึ้น จากการสังเกตเปรียบเทียบกับเว็บไซต์คู่แข่ง อาทิ

ค่า DA หรือ Domain authority ที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการแข่งขันของ SEO ของทั้งเว็บไซต์ (ควรได้คะแนนอยู่ในช่วง 44 ถึง 95 จากคะแนนเต็ม 100)

ค่า PA หรือ Page Authority เป็นการแสดงประสิทธิภาพในการแข่งขันของ SEO เฉพาะแต่ละหน้าเพจ

3. Google search console

เป็นเครื่องมือสำคัญที่แสดงค่าสถิติให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า แต่ละคีย์เวิร์ดนั้นมีการคลิกเข้าชมอ่านบทความจากผู้ใช้งานจริงมากน้อยเพียงใด คุณควรเลือกคำที่มีการคลิกเข้าไปชมมากอันดับต้น ๆ เพราะแสดงถึงความต้องการข้อมูลที่ทันสมัยและอยู่ในกระแสความนิยมkeyword SEO ที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติ

หลังจากเลือกใช้ keyword SEO ตามหลักการและตัวเลขสถิติที่กล่าวมาได้แล้ว ผู้ทำเว็บไซต์ก็ควรรู้วิธีการตรวจสอบผลในการทำ SEO ด้วยว่าหลังจากทำแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงของอันดับที่ดีขึ้นด้วยหรือไม่ โดยการเช็คผ่าน integration Mode ใน Google Chrome (กด ctrl+Shift และ N พร้อมกัน) แล้วใส่ keyword ที่คุณใช้ในการสร้างบทความลงไป หากเว็บไซต์อยู่ในอันดับต้น ๆ (1-20) ก็จะปรากฏผลให้เห็นได้ชัดเจน

หรืออาจจะใช้วิธีที่ 2 คือ เข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ serplab.co.uk ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ สามารถเช็คอันดับของ เว็บไซต์ SEO ได้จากการพิมพ์คีย์เวิร์ดพร้อมกันได้ถึง 5 คำ

จะเห็นได้ว่า การทำเว็บไซต์ SEO ให้ประสบความสำเร็จ ต้องศึกษาหลักการนำคีย์เวิร์ด SEO ที่มีประสิทธิภาพมาใช้อย่างเหมาะสม และเรียนรู้การเช็คอันดับการเปลี่ยนแปลงผล SEO จึงจะทำให้เกิดการแก้ไขจุดบกพร่องได้ที่สาเหตุ และนำสู่การพัฒนาเว็บไซต์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มทำ SEO ให้เว็บไซต์ออนไลน์

การทำ SEO ไม่ใช่เป็นเพียงเทรนด์การตลาด แต่เป็นสิ่งที่ควรทำให้แก่ทุกเว็บไซต์ เนื่องจากจะทำให้ถูกสืบค้นได้ง่าย จากการพิมพ์ keyword SEO ใน Search Engine อย่าง Yahoo และ Google จากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จึงช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างฐานลูกค้าที่กว้างขวางขึ้นได้ในระยะยาว

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization ต้องมีการพัฒนาเว็บไซต์ใน 2 ส่วน ดังนี้

1. On-Page SEO

ได้แก่ การผลิตบทความในเพจ ที่ต้องเลือก keyword SEO ที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วว่าตรงกับที่กลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ใช้ค้นหา ซึ่งปัจจุบันควรใช้ Niche Keyword ที่มีความจำเพาะเจาะจงมากขึ้น

เช่น ใช้คำว่า “รองเท้ากีฬา วิ่ง ผู้หญิง สีชมพู Nike รุ่น” จะทำให้มีโอกาสได้รับการคลิกเข้ามาชมและมียอดขายได้มากกว่า การใช้คำว่า “รองเท้าวิ่ง”

นอกจากนี้ ต้องมีการออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ง่าย ทั้งบนโทรศัพท์มือถือและหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ที่สั่งสินค้าทางมือถือมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ

2. Off-Page SEO

คือ การเชื่อมโยงลิงก์กับเว็บไซต์ภายนอก เช่นการไปตอบคำถามที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ และแนบ Link ไว้เพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาดูข้อมูลเพิ่มในเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณ

เทคนิคนี้จะทำให้ได้ขยายแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างยิ่งขึ้น และเป็นการเพิ่ม Traffic ให้กับเว็บไซต์ทางธุรกิจของคุณ จึงทำให้อันดับของ SEO ดีขึ้นตามไปด้วย

ทั้งนี้ ระบบ Algorithm ของ Search Engine จะเป็นผู้ที่ประมวลผลการพัฒนาเว็บไซต์ทั้งหมด หากไม่เป็นตามหลักการของ SEO ก็จะถูกจัดอันดับให้ตกลงไปด้านล่าง เช่น เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเป็น spam ใส่ keyword ที่ไม่ตรงกับสินค้า ใช้การคัดลอกเนื้อหาและภาพซึ่งเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ฯลฯ

นอกจากนี้ ยังต้องหมั่นอัพเดทข้อมูลและพัฒนาเว็บไซต์ SEO อย่างสม่ำเสมอ เพราะหากคุณหยุดนิ่ง ก็ทำให้เว็บไซต์อื่นมีอันดับที่สูงกว่าได้ เรียกได้ว่าการทำ SEO ทำให้ผู้ที่มีความจริงจังในการพัฒนาเว็บไซต์ได้เปรียบคู่แข่งอย่างมาก

นับว่าเป็น ข้อดีที่สำคัญของการทำ SEO เพราะทำให้ทุกธุรกิจ ไม่ว่าเป็นองค์กรเล็กหรือใหญ่ ย่อมมีโอกาสปรากฏสู่สายตาของลูกค้าผู้บริโภคเท่าเทียมกัน ไม่สามารถผูกขาดอันดับ SEO ได้ (นักธุรกิจออนไลน์หน้าใหม่ จึงคลายความกังวลได้ เพียงใช้เวลา 2-3 เดือนในการทำ SEO อย่างต่อเนื่อง ก็สามารถมีศักยภาพในการแข่งขันที่มากทัดเทียมกับเจ้าตลาดรายเก่า)

การทำ SEO จึงต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน สามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือจ้างบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญ ที่สำคัญ คือ ต้องมีการวัดผลการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจเมื่อทำ SEO เป็นระยะ จึงจะเกิดการพัฒนาเว็บไซต์อย่างเป็นระบบ และบรรลุเป้าหมายในการทำธุรกิจออนไลน์ได้อย่างงดงาม

พัฒนาเว็บไซต์ SEO อย่างสม่ำเสมอ

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการทำเว็บไซต์ SEO ในปี 2019

การขายของออนไลน์ในปัจจุบันมีคู่แข่งทางธุรกิจจำนวนมาก เพราะความสะดวกในการเข้าถึงระบบอินเทอร์เน็ตที่มีความไวระดับ 5G ทำให้ใคร ๆ ก็นำสินค้าและบริการมาเสนอขายได้อย่างง่ายดายทั่วโลก เพราะเป็นช่องทางที่เข้าถึงผู้ซื้อส่วนใหญ่ ที่มีการสั่งซื้อสินค้าผ่านมือถือมากกว่า 90%

ผู้ที่จะทำเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าออนไลน์ จึงต้องทำให้เป็นระบบ SEO หรือ Search Engine Optimization เพื่อช่วยเพิ่มอำนาจการแข่งขันให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

SEO เป็นการพัฒนาเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ที่ Search Engine อย่าง Yahoo, Bing Google กำหนดไว้ โดยจะต้องมีการพัฒนาใน 2 ส่วนคือ

1. On-Page SEO

หมายถึง การปรับที่ส่วนโครงสร้างและองค์ประกอบหน้าเว็บไซต์ ซึ่งทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่คลิกเข้ามาดูข้อมูลสินค้าหรืออ่านบทความในหน้าเพจมีความประทับใจและอยากกลับมาใช้บริการซ้ำอีก ได้แก่

การปรับให้โครงสร้างเว็บไซต์สวยงาม ทั้งตัวอักษร โลโก้ การจัดวางหมวดหมู่ ที่สร้างความจดจำได้ยาวนาน

ใช้งานง่ายทั้งบนหน้าจอคอมพิวเตอร์และผ่านโทรศัพท์มือถือ

ใช้ Keyword SEO เป็นส่วนประกอบในบทความอย่างเหมาะสมโดยปัจจุบันควรเลือก Niche Keyword ที่มีสถิติพบว่าตรงกับที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายทางธุรกิจของคุณ ใช้ค้นหาผ่านช่อง Search ของ Yahoo, Bing Google มากที่สุด

บทความ SEO ที่ผลิตออกมา ในแต่ละเพจควรใช้ Keyword SEO ไม่เกิน 2-3 คำ โดยซ้ำไม่เกิน 2-3 ตำแหน่ง จึงจะทำให้ไม่ถูกระบบอัลกอริทึมวิเคราะห์ว่าเป็นบทความขยะหรือ Spam

มีศิลปะและไอเดียสร้างสรรค์ในการทำสื่อประกอบบทความที่ตรงใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย มีการเลือกสีที่เหมาะสมกับแบรนด์สินค้าตัวอย่างเช่น สินค้าออร์แกนิกที่เน้นความเป็นธรรมชาติและความปลอดภัยต่อผู้บริโภค ควรจะใช้สีครีม สีเขียว สีน้ำตาล เป็นสีประจำของเว็บไซต์ เพราะมีความหมายที่สื่อถึงความเป็นธรรมชาติ ไร้สารพิษ เป็นต้น

2. Off-Page SEO

มีเทคนิคที่นิยม คือ การทำ Backlink เชื่อมโยงหลายเว็บไซต์เข้าด้วยกัน เช่น การที่คุณไปเข้าร่วมในกลุ่มสนทนาในห้องแชทออนไลน์ต่าง ๆ แล้ว ร่วมตอบคำถามให้ความคิดเห็น หรือให้ความรู้ที่มีประโยชน์ ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสินค้าหรือความเชี่ยวชาญที่คุณมี เช่น หากคุณจำหน่ายรองเท้าเพื่อสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ ก็ควรเข้าในกลุ่มสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ หรือกลุ่มครอบครัว เพื่อให้ตรงกับความสนใจของสมาชิกในกลุ่ม ซึ่งหากมีผู้ที่สนใจสินค้าจำพวกรองเท้าเพื่อสุขภาพ คุณสามารถแนะนำเว็บไซต์ของคุณได้ การใช้วิธีนี้จะทำให้ไม่โดนแบนออกจากกลุ่ม และเป็นการสร้างฐานลูกค้าใหม่ที่ได้ผลดีมาก

การทำเว็บไซต์ SEO เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาในหลายส่วนพร้อมกัน หากคุณต้องการให้การขายสินค้าออนไลน์ ประสบความสำเร็จ ก็จำเป็นต้องศึกษาเพื่อให้นำความรู้มาปรับใช้ให้ธุรกิจเติบโตได้มากที่สุดในปี 2019 นี้

เทคนิคที่นิยม คือ การทำ Backlink เชื่อมโยงหลายเว็บไซต์

SEO ปี 2019 ต้องคำนึงถึงอะไรบ้าง

ในการทำคอนเทนต์การตลาดแบบ SEO มีเทรนด์ความเปลี่ยนแปลงเข้มข้นมากขึ้น จำเป็นที่จะต้องพัฒนาเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อที่เราจะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งทางธุรกิจของเราได้ผ่านบทความ การสื่อสารหรือ SEO และสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้คือ ความชัดเจนในการทำธุรกิจว่าเราทำธุรกิจอะไร และกำลังสื่อสารกับใครอยู่ เพื่อที่จะได้สื่อสารแบรนด์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น การทำ SEO ก็เช่นเดียวกัน ต้องมีการอัปเดตการทำ SEO แบบใหม่ ๆ อยู่เสมอ และสิ่งที่ SEO ปี 2019 สิ่งที่ต้องคำนึงมีดังต่อไปนี้

กำหนดเป้าหมายในการสื่อสารให้ชัดเจน

สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ผู้ทำระบบ SEO จะต้องรู้และกำหนดก็คือ การรู้ว่าต้องการจะสื่อสารกับใครลูกค้าเป็นลูกค้ากลุ่มไหน ซึ่งสิ่งนี้สำคัญมากกว่าการกำหนดเป้าหมายในการค้นหา เนื่องจากที่มาของข้อมูลมาจากกลุ่มผู้คน ดังนั้นเราจะต้องรู้ว่าลักษณะนิสัย ความชอบ ค่านิยม สิ่งที่กลุ่มเป้าหมายเราเป็นอย่างไร และต้องการอะไร เพื่อที่เราจะได้สื่อสารได้ถูกต้อง และตรงกลุ่มเป้าหมาย

SERP คือ สิ่งที่การตลาดให้ความสำคัญ

SERP (Search Engine Result Page) มีหน้าที่ในการค้นหาข้อมูลที่อยู่ในฐานข้อมูลของ Google ดังนั้น สิ่งที่คนทำ SEO ให้ความสำคัญคือ การทำให้หน้าเว็บไซต์ของสินค้า และบริการของตนนั้นติดอันดับหน้าแรกของกูเกิล หรือในการค้นหา เพราะจะมีผลในการตัดสินใจของลูกค้า หรือผู้ที่มาค้นหาสิ่งนั้น ๆ

Content ที่สร้างจะต้องมีคำที่เป็น Keyword

สิ่งสำคัญในการทำคอนเทนต์ให้ติดหน้าแรกได้นั่นก็คือ คีย์เวิร์ด คีย์เวิร์ดจะเป็นตัวที่ทำให้ลูกค้าหาเราเจอ โดยGoogle จะทำการเลือกบทความหรือ คอนเทนต์ที่มีประโยชน์มีคุณภาพ สด ใหม่ และตรงตามคีย์ของการค้นหา ดังนั้นการทำ SEO จึงต้องกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะสื่อสารให้ชัดเจน จากนั้นจึงกำหนดคีย์เวิร์ดให้เกี่ยวข้องสิ่งที่ผู้คนต้องการค้นหาให้ได้มากที่สุด

ประสบการณ์การใช้งานของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญในการทำ SEO

เพื่อความง่ายต่อการค้นหาของผู้คนที่ต้องการค้นหาข้อมูลในครั้งถัดไป จำเป็นที่จะต้องมีการบันทึกประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ใช้ง่ายและไม่เกิดความสับสนยุ่งยากมากเกินไป ไม่เสียเวลาในการโหลดหน้าจอ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการใช้งานแบบมือถือ สิ่งสำคัญของเว็บในการใช้งานคือ UI (User Interface) ที่ต้องการการทำงานที่ไม่ซับซ้อนจนเกินไปต่อการค้นหาข้อมูลและการทำงานของเว็บไซต์

การปรับแต่งเว็บไซต์ภายในบนเว็บเพจ

การปรับแต่งเว็บเพจเป็นการปรับแต่งการใช้งานที่ต้องการนำเสนอเพื่อรองรับกลุ่มคนที่เราต้องการเข้ามานั่นคือ ความสะดวกในการเข้ามาค้นหาและอ่านข้อมูล ดังนั้นสิ่งที่เจ้าของเว็บจะต้องจัดเตรียมคือ การกำหนดข้อมูลที่เป็นประโยชน์ มีคีย์เวิร์ดประกอบในการใช้งาน และการรักษาประสบการณ์ของผู้ใช้เอาไว้ด้วย

ในปี 2019 เป็นปีที่มีการแข่งขันการทำ SEO เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะต้องคำนึงก็คือ คีย์เวิร์ดของกลุ่มลูกค้า โดยศึกษาลูกค้าของแต่ละกลุ่มให้ดีเพื่อไม่ให้ข้อมูลนั้นสูญเปล่า และจะต้องเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์และเป็นที่ต้องการสูง จึงจะทำให้เว็บนั้นติดหน้าแรก อีกทั้งการเข้าถึงข้อมูลจะต้องง่ายและไม่ซับซ้อนจนเกินไป รองรับการเข้าใช้งานผ่านมือถือสมาร์ทโฟน

กำหนดเป้าหมายในการสื่อสารให้ชัดเจน

ลิงก์แบบ Do Follow คืออะไร มีผลกับ SEO อย่างไร

เมื่อเจ้าของธุรกิจสร้างเว็บไซต์ใหม่ ต้องการโปรโมทให้เว็บติดอันดับหน้าแรกของเครื่องมือค้นหามีหลายวิธี แต่ละวิธีให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นคือการสร้างลิงก์แบบ Do Follow เป็นวิธีการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่นเพื่อเพิ่มคะแนน SEO โดยไม่สร้างจุดด่างพร้อยเพราะไม่ผิดกติกาของ Google การสร้างลิงก์แบ่งออกเป็น Do Follow และ No Follow มีรายละเอียดแตกต่างกันดังนี้

Do Follow สร้างลิงก์เพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บ

การสร้างลิงค์ Do Follow เป็นการเชื่อมโยงจากเว็บไซต์ไปยังเว็บอ้างอิงอื่น ๆ พร้อมกับส่งต่อลิงก์กลับมายังเว็บของตนเองเพื่อเปิดการค้นหาติดตามทำให้ผู้ชมคลิกกลับมายังเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและเครื่องมือค้นหาสามารถติดตามได้เช่นเดียวกัน เรียกว่าทั้งเพิ่มจำนวนลิงก์ (Back Link) ให้เว็บของตัวเองและช่วยเพิ่มค่าอันดับ (PageRank) ด้วย บอทของเครื่องมือค้นหาจะนับจำนวนคนเข้า ด้วยเหตุนี้ยิ่งมีลิงก์มากเท่าไรก็จะได้รับคะแนน SEO มากขึ้นซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเว็บไซต์ให้ได้รับการจัดลำดับในอันดับที่ดีขึ้น วิธีดีที่สุดคือการเขียนบทความที่มีประโยชน์ น่าอ่าน โดยใช้คำหลักเป็นตัวยึดข้อความเชื่อมโยงกับคำค้นหาของผู้ใช้เสิร์จเอนจิ้นนั่นเอง การตั้งค่า Do Follow นับเป็นสิ่งสำคัญเพราะทำให้ได้ลิงก์กลับมาจากทุกที่ รวมถึงลิงก์ติดตามจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้อีกด้วย

No Follow

การตั้งค่า No Follow หมายถึงการสร้างลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บอื่นโดยไม่เปิดให้เครื่องมือค้นหาติดตามลิงก์ จึงไม่มีการนับคะแนนแบบการทำ SEO แต่ยังเชื่อมโยงให้ผู้ชมคลิกย้อนกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณได้ มีจำนวนผู้เข้าชมมากขึ้น แตกต่างตรงที่ไม่มี BackLink กลับมาที่เว็บของตัวเอง และไม่ช่วยเพิ่มค่าอันดับของหน้าเว็บไซต์ให้สูงขึ้น ถือเป็นวิธีการสร้างลิงก์แบบธรรมชาติที่ปลอดภัย ไม่เสี่ยงกับลิงก์คุณภาพต่ำที่เป็นอันตรายต่อเว็บไซต์ ถึงจะไม่เพิ่มอันดับเว็บแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลิงก์นั้นไม่มีประโยชน์ เพราะการที่เว็บไซต์มีการเข้าชมจำนวนมากให้ประโยชน์มากมาย ช่วยให้เว็บเป็นที่รู้จักมากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการขายมากกว่าคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน

การตรวจสอบลิงก์ว่าเป็น Do Follow หรือ No Follow มีข้อแตกต่างดังนี้

ลิงก์ Do Follow เช่น SE Ranking

ลิงก์ No Follow เช่น SE RankingDo Follow สร้างลิงก์เพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บ

เว็บมาสเตอร์ที่เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรใช้ผสมผสานทั้ง Do Follow และ No Follow ต้องสร้างความสมดุลให้ดี เพราะการสร้างลิงก์ขาเข้าเป็น Do Follow ทั้งหมดจะน่าสงสัยและไม่เป็นธรรมชาติ อย่ามองว่าลิงก์ประเภท No Follow ไม่มีค่าสำหรับ SEO แต่ควรมองประโยชน์ในด้านทำให้ธุรกิจและแบรนด์เป็นที่รู้จัก ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น การสร้างลิงก์แบบ No Follow เหมาะใช้ในกรณีที่ไม่ต้องการติดตามเนื้อหาในเว็บที่ไม่น่าเชื่อถือ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในระยะยาว การสร้างลิงก์ Do Follow และ No Follow ให้ผลลัพธ์ที่ดีแตกต่างกันไปและถูกกว่าการทำโฆษณาแบบอื่น ๆ มาก การรอผลลัพธ์นั้นต้องใช้เวลาแต่จะช่วยให้เข้าไปอยู่ในหน้าแรก ๆ ในการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google ได้อย่างแน่นอน

จะใช้งบประมาณที่มีอยู่ทำ SEO หรือ SEM ดีกว่ากัน

การตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน มีการแข่งขันกันสูงเพื่อให้ได้อันดับต้น ๆ Top 5 หรือ Top10 ในการนำเสนอบนหน้าต่างการสืบค้นของ Google, Bing และ Yahoo ทำให้ได้ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมในเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องและทำให้มียอดขายที่สูงขึ้น ทั้งเทคนิค SEO และ SEM ต่างเป็นวิธีการตลาดออนไลน์ยุคใหม่ที่มีการนิยมใช้อย่างมาก แต่หากมีงบประมาณที่จำกัดก็ทำให้หลายคนเกิดความลังเลใจว่าควรจะเลือกทำสิ่งใดดี

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ SEO และ SEM เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นมาฝากกัน ดังนี้

1. SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการทำการตลาดออนไลน์แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้ Search Engine โดยเน้นที่การสร้างเว็บไซต์ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่ Google, Bing และ Yahoo วางไว้ ทั้งด้านเนื้อหา รูปภาพประกอบ และสื่อมัลติมีเดียที่ช่วยให้ลูกค้าหรือผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเข้ามาชมในเว็บไซต์ ดังนั้น ต้องคำนึงถึงความทันสมัย ไม่มีการคัดลอกจากที่อื่น มีแหล่งอ้างอิงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น

นอกจากนี้ การทำเว็บไซต์ SEO ให้ใช้งานได้ง่าย ทั้งบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ส่วนการทำเชื่อมโยง Link ไปสู่เว็บไซต์อื่น ๆ เช่น ห้องแชทที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เพื่อที่คุณจะได้แนะนำเว็บไซต์ของคุณ ก็เป็นเทคนิคที่นักธุรกิจเว็บไซต์ออนไลน์ยุคใหม่นิยมทำกัน หากคุณมีทักษะทำ SEO เอง ก็ไม่ต้องจ้างทีมงาน หรืออาจเลือกจ้างมืออาชีพในงานที่คุณไม่ถนัด เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายแต่ได้ผลงานที่ดีน่าพอใจได้

2. SEM หรือ Search Engine Marketing จะเป็นการประมูลพื้นที่เพื่อโฆษณาเว็บไซต์ของคุณในอันดับ 1-5 ของหน้าต่างการสืบค้น ทำให้มีโอกาสได้รับการคลิกเข้ามาชมและเลือกซื้อสินค้าอย่างเห็นผลในทันที ซึ่งจะต้องมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นหากคุณใช้ keyword ตรงกับคู่แข่งทางการค้าและเมื่อมีการคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณผ่านลิงก์โฆษณา คุณก็จะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะซื้อสินค้าหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเรียกว่าค่าใช้จ่ายแบบ Pay Per Clickประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ SEO และ SEM

การทำ SEM จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำนวนมาก หรือจะใช้งบประมาณเป็นครั้ง ๆ ตามแผน เพื่อที่จะสนับสนุนโปรโมชั่นหรือกระตุ้นยอดขายเป็นช่วง ๆ ก็จะเห็นผลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า หากคุณมีงบประมาณที่จำกัดการเลือกแนวทางประชาสัมพันธ์เว็บไซต์แบบ SEO หรือ SEM ต้องขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า เป้าหมายทางธุรกิจ และจังหวะของแผนธุรกิจ เช่น ช่วงต้น กลาง และปลายปี ที่จะมีโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายต่างกัน ซึ่งหากทำควบคู่กันได้ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น คุณอาจปรึกษาผู้ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในการทำ SEO และ SEM ก็จะได้คำตอบหรือแนวคิดที่ดียิ่งขึ้น

โครงสร้างเว็บไซต์แบบไหนที่เป็นมิตรกับ SEO

ธุรกิจยุคนี้จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ แม้ว่าโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ Pinterest ที่เข้าถึงลูกค้าง่าย และสะดวกกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลคือโครงสร้างของเว็บไซต์นำเสนอข้อมูลอย่างละเอียดและยังสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น การที่จะทำให้ธุรกิจมีศักยภาพการแข่งขันสูงจำเป็นต้องมีช่องทางที่ไว้วางใจได้เพื่อให้โดดเด่นกว่าคู่แข่ง ทั้งนี้ โครงสร้างเว็บไซต์ถือเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ SEO จำเป็นต้องจัดระเบียบหน้าเว็บให้ผู้ใช้งานค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่าย ทำให้ธุรกิจดีขึ้นและยังส่งผลให้เว็บไซต์ติดในอันดับต้น ๆ ของ Google ด้วย

มาดูกันว่าเว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คืออะไร

เว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คือการจัดลำดับหน้าเว็บเรียงลำดับความสำคัญ หน้าเว็บที่อัดแน่นข้อมูลสำคัญที่สุดและบทความดีที่สุดในเว็บไซต์ทำให้ Google เห็นว่าหน้านั้นสำคัญและมีผลให้เว็บติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหา เว็บไซต์ที่ได้รับการวางแผนมาเป็นอย่างดีจะมีโครงสร้างที่ชัดเจนช่วยให้จัดทำดัชนีได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีหน้าเพจหลายระดับมาก เช่น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ และแคตตาล็อกธุรกิจ ถ้าจัดลำดับอย่างเป็นระเบียบและมีการเชื่อมโยงกันจะช่วยหลีกเลี่ยงเนื้อหาและหน้าเพจที่ซ้ำซ้อน ประโยชน์ที่แท้จริงของเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างที่ดีคือสร้างความประทับใจให้ลูกค้าเป้าหมาย

เว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คือการวางแผนผังเว็บไซต์แสดงรายการหน้าทั้งหมดเพื่อช่วยจัดระเบียบเนื้อหาในเว็บไซต์ตามลำดับหมวดหมู่และลำดับความสำคัญ สามารถสร้างลิงก์เชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องไปถึงโพสต์และหน้าอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์ นอกจากนั้นยังสร้างการเชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องในเว็บภายนอกอื่น ๆ ด้วย การวางแผนผังที่ดีจะแสดงลำดับเมนูให้ผู้ใช้ทราบว่าตอนนี้กำลังอยู่ตรงส่วนใดของเว็บไซต์ จะหาทางค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้อย่างไร รวมถึงวิธีกลับไปที่หน้าแรกด้วย

เว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คือการคัดเลือกคีย์เวิร์ดหลักและรองมาอย่างดี กระจายคำหลักอย่างเหมาะสมทั่วทั้งหน้าเว็บไซต์เพื่อให้ SEO ทำงานได้ดีขึ้นและผู้ใช้สามารถค้นหาหน้าที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย รวมถึงใส่กลุ่มคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ควรใช้คำที่หลากหลายกระจายกันบนหน้าเว็บที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างลิงก์ภายในเว็บให้มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือมากขึ้นมาดูกันว่าเว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คืออะไร

สังเกตได้ว่าเว็บไซต์ที่ค้นหาข้อมูลง่ายจะมีวิธีการจัดหน้าและลำดับชั้นเป็นระเบียบเรียบร้อย เริ่มจากหน้าแรกเป็นหน้าที่จะเชื่อมโยงไปถึงข้อมูลหลักของเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจอย่างชัดเจน ถัดจากหน้าแรกคือส่วนหลักเป็นหน้าที่จะเชื่อมโยงไปถึงสินค้าหรือบริการ ซึ่งแบ่งเป็นหมวดหมู่เพื่อให้ผู้ใช้ค้นหาได้ง่าย ต่อไปคือส่วนย่อยเป็นหน้าที่อธิบายคุณสมบัติของสินค้าและบริการที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ในส่วนย่อยจะซับซ้อนและมีหลายระดับ จึงต้องเรียงไปตามลำดับความสำคัญ เพราะข้อมูลที่เพิ่มเติมเข้ามาเรื่อย ๆ จะทำให้เว็บขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นเคล็ดลับในการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นมิตรกับกลยุทธ์ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ทำอันดับได้ดีขึ้น