อยากให้เว็บไซต์เติบโตต้องรู้เทคนิคเลือก Keyword SEO และการเช็คผล

การทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จได้ดีนั้น จะต้องให้ความสำคัญกับ keyword SEO ที่ใช้เขียนบทความ ที่ต้องตรงกับการสืบค้นจริงของลูกค้าเป้าหมาย หากใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่เป็นที่นิยมก็ทำให้เสียเวลาในการเขียนบทความไปโดยเปล่าประโยชน์ และทำให้พลาดโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจกับเว็บไซต์อื่นด้วย

keyword SEO ที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติ ดังต่อไปนี้

1. เป็น Niche Long-tailed keyword

คือ ต้องมีการผสมคำสำคัญอย่างน้อย 3 คำเข้าด้วยกัน เพื่อการสื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้เจาะจงยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ต้องการขายสินค้าแฟชั่นสไตล์เกาหลี ก็ควรที่จะใส่รายละเอียดลงไปให้ชัดเจน คือ “เสื้อแฟชั่น+เกาหลี+ผู้หญิง+ยี่ห้อ” เป็นต้น จะทำให้โอกาสที่จะมีคู่แข่งใช้คีย์เวิร์ดเดียวกันน้อยกว่าการใช้คำสั้น ๆ อย่าง “เสื้อแฟชั่น”

2. ใช้เครื่องมือในการวัดคุณภาพของ SEO

ตัวอย่างสำคัญ เช่น MOZ BAR ซึ่งสามารถดาวน์โหลดมาติดตั้งใช้คู่กับ Chrome ได้ โดยหลังจากที่ดาวน์โหลดแล้วจะปรากฏข้อมูลที่สำคัญหลายอย่าง ซึ่งค่า DA PA จะช่วยให้เลือกคีย์เวิร์ดได้ดีขึ้น จากการสังเกตเปรียบเทียบกับเว็บไซต์คู่แข่ง อาทิ

ค่า DA หรือ Domain authority ที่แสดงถึงประสิทธิภาพในการแข่งขันของ SEO ของทั้งเว็บไซต์ (ควรได้คะแนนอยู่ในช่วง 44 ถึง 95 จากคะแนนเต็ม 100)

ค่า PA หรือ Page Authority เป็นการแสดงประสิทธิภาพในการแข่งขันของ SEO เฉพาะแต่ละหน้าเพจ

3. Google search console

เป็นเครื่องมือสำคัญที่แสดงค่าสถิติให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า แต่ละคีย์เวิร์ดนั้นมีการคลิกเข้าชมอ่านบทความจากผู้ใช้งานจริงมากน้อยเพียงใด คุณควรเลือกคำที่มีการคลิกเข้าไปชมมากอันดับต้น ๆ เพราะแสดงถึงความต้องการข้อมูลที่ทันสมัยและอยู่ในกระแสความนิยมkeyword SEO ที่ดีจึงต้องมีคุณสมบัติ

หลังจากเลือกใช้ keyword SEO ตามหลักการและตัวเลขสถิติที่กล่าวมาได้แล้ว ผู้ทำเว็บไซต์ก็ควรรู้วิธีการตรวจสอบผลในการทำ SEO ด้วยว่าหลังจากทำแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงของอันดับที่ดีขึ้นด้วยหรือไม่ โดยการเช็คผ่าน integration Mode ใน Google Chrome (กด ctrl+Shift และ N พร้อมกัน) แล้วใส่ keyword ที่คุณใช้ในการสร้างบทความลงไป หากเว็บไซต์อยู่ในอันดับต้น ๆ (1-20) ก็จะปรากฏผลให้เห็นได้ชัดเจน

หรืออาจจะใช้วิธีที่ 2 คือ เข้าไปตรวจสอบในเว็บไซต์ serplab.co.uk ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้บริการ สามารถเช็คอันดับของ เว็บไซต์ SEO ได้จากการพิมพ์คีย์เวิร์ดพร้อมกันได้ถึง 5 คำ

จะเห็นได้ว่า การทำเว็บไซต์ SEO ให้ประสบความสำเร็จ ต้องศึกษาหลักการนำคีย์เวิร์ด SEO ที่มีประสิทธิภาพมาใช้อย่างเหมาะสม และเรียนรู้การเช็คอันดับการเปลี่ยนแปลงผล SEO จึงจะทำให้เกิดการแก้ไขจุดบกพร่องได้ที่สาเหตุ และนำสู่การพัฒนาเว็บไซต์ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าและบริการทางธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

ทำไม ถึงต้องทำ Meta description ในเว็บไซต์ SEO

การทำเว็บไซต์ที่มีคุณภาพสูงตามระบบ SEO (search engine optimization) ที่ Google แนะนำ เป็นสิ่งที่จำเป็นหากต้องการประสบความสำเร็จเหนือคู่แข่งทางการค้าในระบบอินเทอร์เน็ตออนไลน์ ซึ่งนอกจากการผลิตบทความ SEO การปรับส่วนโครงสร้าง การทำ backlink ฯลฯ ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ นั่นคือ การทำ Meta description ที่จะทำให้เพิ่มอันดับ SEO และยอดขายได้มากขึ้น

การทำ Meta description สำคัญต่อเว็บไซต์อย่างไร

การทำ Meta description เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในปี 2019 เพราะเป็นจุดที่ช่วยให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายตัดสินใจได้ว่า ควรจะคลิกเข้ามาในลิงก์จากหน้าต่างการสืบค้นดีหรือไม่

ซึ่ง Meta description จะปรากฏอยู่ในส่วนใต้หัวเรื่อง (title) ที่มักมีความยาวทั่วไปอยู่ที่ 150-160 คำ สำหรับให้ข้อมูลครบทุกประเด็นที่บทความกล่าวถึง ทั้งนี้ ด้วยความสั้น กระชับของ Meta description จึงต้องให้ความสำคัญกับ keyword ทั้ง focus keyword (คีย์เวิร์ดหลัก) และ related keyword (คีย์เวิร์ดรอง) ที่ต้องใส่ได้ครบถ้วนด้วย

เป็นที่ทราบกันดีว่า คนไทยนิยมค้นหาข้อมูลร้านค้าต่าง ๆ ด้วย Google ซึ่งผลลัพธ์ที่แสดงออกมา หากมีส่วน Meta description ที่ใต้หัวข้อเรื่อง จะส่งผลดีให้ดึงดูดใจผู้อ่านให้สะดุดสายตามากกว่าเว็บไซต์ที่ไม่มีข้อมูลส่วนนี้

ที่สำคัญคือ การมีผลการวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมสำคัญ อย่าง Google search console ที่เจ้าของกิจการเว็บไซต์ออนไลน์สามารถดาวน์โหลดได้ฟรี เพื่อให้เห็นกราฟการวิเคราะห์ผลสถิติการใช้งานต่าง ๆ ที่จะยืนยันได้ว่าหลังการทำ Meta description จะมีค่า CTR หรือ click through rate ที่หมายถึง อัตราการคลิกเข้ามาชมข้อมูลในเว็บไซต์ที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดด้วย

ทั้งนี้ กูรูการตลาดแนะนำว่า การทำ Meta description ที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสาร ควรจัดทำโดยผู้เขียนบทความของเพจนั้น ๆ เอง เช่น บทความเกี่ยวกับอุปกรณ์ไอที สินค้าที่มีข้อมูลทางเทคนิค เว็บไซต์ทางการแพทย์และสุขภาพ ฯลฯ เพราะต้องอาศัยความชำนาญในการสรุปประเด็นที่ครอบคลุมและชัดเจนที่สุดทำไม ถึงต้องทำ Meta description ในเว็บไซต์ SEO

ประเด็นที่ห้ามมองข้าม คือ การหา focus keyword (คีย์เวิร์ดหลัก) และ related keyword (คีย์เวิร์ดรอง) สำหรับการใส่ใน Meta description ที่ควรศึกษาจาก Google search console ที่มีข้อมูลให้ว่า คีย์เวิร์ดที่ผู้คนนิยมค้นหาที่ตรงกับกลุ่มผู้ใช้สินค้าและบริการของบริษัทคุณมีคำว่าอะไรบ้าง ซึ่งคำที่นิยมทั่วไป มักใช้เป็น คีย์เวิร์ดหลัก และหากมีส่วนขยาย เช่น อย่างไร ดีไหม ที่ไหนบ้าง ฯลฯ เหล่านี้ มักใช้เป็น คีย์เวิร์ดรอง หรือวิธีที่ง่ายที่สุด คือการพิมพ์หาใน Google search เพื่อดูตัวอย่างคำที่นำเสนออย่างอัตโนมัติจากระบบ algorithm ของ Google ซึ่งก็มาจากการพิมพ์สืบค้นจริงของผู้คนทั่วไปนั่นเอง

จะเห็นได้ว่า การทำ Meta description มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการทำเว็บไซต์ SEO ให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ หวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกท่านใส่ใจการทำ Meta description ให้เว็บไซต์มากยิ่งขึ้น เพื่อให้มีโอกาสประสบความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ได้ยิ่งกว่าเดิม