วิธีการทำ SEO แบบผิด ๆ ที่นักการตลาดออนไลน์ควรบอกลาโดยด่วน

เพราะการที่เว็บไซต์ติดหน้าแรกของผลการค้นหาย่อมนำมาซึ่งความน่าเชื่อถือ อีกทั้งยังทำให้กลุ่มเป้าหมายมีโอกาสเห็นเว็บไซต์คุณมากขึ้นอีกด้วย โดยวิธีที่ทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของการค้นหาคือการทำ SEO หรือ Search Engine Optimization โดยการทำ SEO มีองค์ประกอบสำคัญหลายอย่าง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีนักการตลาดออนไลน์จำนวนไม่น้อยที่เลือกทำ SEO ผิดวิธี ซึ่งส่งผลต่อการให้คะแนนจาก Search Engine และทำให้เว็บไซต์ตกอันดับอย่างน่าเสียดาย

วิธีการทำ SEO แบบผิด ๆ ที่ควรบอกลาโดยด่วน

มองข้ามขั้นตอนการวิเคราะห์คีย์เวิร์ด
เรียกได้ว่าเป็นความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ในการเริ่มต้นทำ SEO เลยก็ว่าได้ เพราะกลุ่มเป้าหมายมีโอกาสค้นหาเจอเว็บไซต์ของเราจากคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้อง แต่หลายคนกลับมองข้ามขั้นตอนนี้อย่างน่าเสียดาย เพราะฉะนั้นควรมองหาเครื่องมือวิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่มีทั้งแบบใช้งานฟรีและแบบมีค่าใช้จ่าย เพื่อดูว่าคีย์เวิร์ดใดบ้างที่นิยมถูกค้นหา เพื่อเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์คุณมากยิ่งขึ้น

ยัดคีย์เวิร์ดลงในบทความ
แม้ว่าคีย์เวิร์ดในบทความจะเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายค้นเจอเว็บไซต์คุณง่ายยิ่งขึ้น แต่การยัดคีย์เวิร์ดมากเกินไปลงในบทความก็ไม่ได้ส่งผลดีเสมอไป เพราะนอกจากทำให้บทความไม่น่าอ่านแล้ว ยังทำให้บทความดูไม่น่าเชื่อถือ โดยการเลือกใส่คีย์เวิร์ดควรกระจายทั่วบทความและควรเลือกใส่อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะ Search Engine ก็พัฒนาระบบให้สามารถตรวจสอบคุณภาพบทความได้อย่างละเอียดยิ่งขึ้นเช่นกัน

ลอกเลียนแบบคอนเทนต์จากเว็บไซต์อื่น
Search Engine ให้ความสำคัญคุณภาพคอนเทนต์เป็นอย่างมาก โดยหากตรวจพบว่าเว็บไซต์คุณลอกเลียนแบบคอนเทนต์จากเว็บไซต์อื่น นอกจากทำให้เว็บไซต์ถูกลดอันดับแล้ว ดีไม่ดีอาจโดนแบนเลยก็เป็นได้ โดยวิธีที่ถูกต้องคือควรครีเอทคอนเทนต์ใหม่ ๆ ยิ่งเป็นคอนเทนต์ต้นฉบับที่สามารถหาอ่านได้จากเว็บไซต์คุณเท่านั้นยิ่งเป็นตัวเรียกคะแนนจาก Search Engine ได้เป็นอย่างดี

สนใจแต่จำนวนคลิกเข้าเว็บไซต์
แม้ว่าจำนวนคลิกเข้าเว็บไซต์จะมีผลต่อการให้คะแนนของ Search Engine แต่ถึงอย่างนั้นนักการตลาดออนไลน์ก็ไม่ควรให้ความสำคัญเฉพาะจำนวนคลิกจนเกินไป เพราะระยะเวลาที่กลุ่มเป้าหมายใช้งานเว็บไซต์ก็มีผลต่อคะแนนเช่นกัน ดังนั้น เว็บไซต์ที่ใช้งานง่าย แสดงผลอย่างมีประสิทธิภาพ ดาวน์โหลดรวดเร็ว และมีคอนเทนต์น่าติดตาม จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายใช้งานเว็บไซต์นานยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือ

เพราะการผลักดันให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกของ Search Engine จำเป็นต้องใช้องค์ประกอบหลายอย่าง เพื่อเป็นตัวเรียกคะแนนแก่เว็บไซต์ เพราะฉะนั้นใครที่ยังเลือกใช้วิธีการทำ SEO แบบผิด ๆ แน่นอนว่าย่อมส่งผลให้อันดับเว็บไซต์ไม่ขยับ แย่กว่านั้นคืออาจทำให้ถูกแบนได้ ดังนั้น แนะนำให้ทำ SEO ด้วยวิธีถูกต้อง เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มคะแนนได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังทำให้เว็บไซต์คุณได้รับความนิยมและความน่าเชื่อถืออีกด้วย

จุดที่ต้องทำ SEO ให้กับเว็บไซต์

เว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพในการแข่งขันกับคู่แข่งนั้น ต้องมีการทำ SEO ในหลายจุด เพื่อให้ระบบ algorithm ของ Google ตรวจสอบวิเคราะห์ข้อมูลแล้วพบว่ามีความน่าเชื่อถือ มีคุณภาพตรงกับการสืบค้นของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากกว่าเว็บไซต์อื่น เรามาดูกันว่ามีจุดใดบ้างที่คุณต้องให้ความสำคัญ

1.keyword seo
คีย์เวิร์ด SEO ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการทำเว็บไซต์ออนไลน์ จะปรากฏอยู่ในบทความ ทั้งส่วนคำนำ เนื้อเรื่อง สรุป ซึ่งลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะใช้คำนี้ พิมพ์ในช่องสืบค้นของ Google เพื่อเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณได้ หากได้รับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ก็อาจนำไปสู่การซื้อขายสินค้าบนเว็บไซต์คุณตามไปด้วย ไม่ว่าคุณจะจำหน่ายสินค้าประเภทใดก็ตาม การเลือก keyword SEO จึงต้องศึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในคอร์สต่าง ๆ หรือผ่านช่อง YouTube ที่มีผู้สอนออนไลน์ไว้มากมาย

2.การทำส่วนหัวเรื่องหรือ title SEO
หัวเรื่องหรือหัวข้อเป็นจุดที่สร้างความดึงดูดใจให้แก่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากที่สุด ส่งผลต่อการตัดสินใจว่าจะคลิกเข้ามาชมหรือเลื่อนผ่าน มีการวิจัยพบว่า หากหัวข้อเป็นเป็นคำที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน มีความกระชับ อ่านแล้วติดปาก น่าบอกต่อ หรือใช้เป็นประโยคคำถามที่ตรงกับความสนใจของคนส่วนใหญ่ ก็จะมีโอกาสถูกคลิกเข้ามาอ่านเนื้อหาสาระมากกว่าหัวข้อที่ดูเข้าใจยากหรือมีตัวสะกดที่ผิดพลาด อันจะส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของบทความนั้นทันที

3.รูปภาพประกอบในบทความ
การทำ SEO ให้กับรูปภาพก็เป็นอีกองค์ประกอบที่สำคัญ คุณอาจสังเกตได้ว่าในช่อง Search ของ Google จะมีให้เลือกว่า ต้องการค้นหาข้อมูลจากรูปภาพหรือบทความใด ๆ บนฐานข้อมูลกูเกิ้ล ดังนั้น การเลือกคำที่เหมาะสมในการตั้งชื่อภาพ และใช้อธิบายรายละเอียดของภาพ จึงเป็นเรื่องที่ห้ามมองข้าม และระบบ algorithm ของ Google ก็ไม่สามารถแยกองค์ประกอบต่าง ๆ ของภาพได้ จึงควรใส่รายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ในภาพ ฯลฯ ลงไปในชื่อภาพและ ALT Text ด้วย เช่น “รองเท้ากีฬา ผู้หญิง ไซส์ 40 ลายสปอร์ต สีเทา-ชมพู” จะทำให้มีโอกาสถูกสืบค้นเจอเว็บไซต์ของคุณผ่านรูปภาพได้อีกช่องทางหนึ่ง

4.คำโปรย Meta Description
การทำ Meta Description หรือคำโปรย เป็นตัวดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน รองจากการตั้งชื่อหัวข้อหรือ title โดยกำหนดความยาวให้ไม่เกิน 100 ตัวอักษร จะกระชับดีที่สุด เพื่อให้ผู้ที่กำลังลังเลว่าจะคลิกเข้ามาชมหรือไม่ ตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น การใส่ keyword SEO ลงไปใน Meta Description ควรแทรกอย่างเป็นธรรมชาติ ลำดับประโยคอย่างน่าสนใจ กระตุ้นให้อยากรู้อยากคลิกมาชมในเว็บไซต์ จะเป็นผลดีต่อคะแนน SEO ของเว็บไซต์นั้นด้วย

การทำเว็บไซต์ SEO มีหลายจุดที่ไม่ควรมองข้าม อย่างน้อย 4 จุดที่กล่าวไป คือ คีย์เวิร์ด ส่วนหัวเรื่อง คำโปรย และการตั้งชื่อภาพอย่างมีคุณภาพตามหลัก SEO ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรพลาด เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสแข่งขันกับบริษัทคู่แข่งอื่นที่ขายสินค้าออนไลน์แบบเดียวกันได้มากขึ้น

เทคนิคทำคอนเทนต์ SEO ให้ปังจนติดหน้าแรกของ Search Engine

มาถึงยุคนี้ไม่มีใครไม่รู้จักการทำ SEO หรือการปั้นเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกของ Search Engine โดยการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ นอกจากช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือแล้ว ยังเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น นำมาซึ่งผลดีในการทำการตลาดและเพิ่มโอกาสการขายสินค้าและบริการ โดยหนึ่งในหัวใจสำคัญของการทำ SEO คือการทำคอนเทนต์ให้มีคุณภาพและตรงใจผู้อ่าน โดยมีหลายเทคนิคการทำคอนเทนต์ให้ปัง เพื่อให้ติดหน้าแรกของ Search Engine ได้แบบไม่ยาก

เทคนิคทำคอนเทนต์ เพื่อให้ติดหน้าแรกของ Search Engine

คอนเทนต์โดนใจกลุ่มเป้าหมาย
การจัดทำคอนเทนต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย ถือเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี เพราะคอนเทนต์ที่ตรงตามความต้องการ ย่อมทำให้เพิ่มจำนวนคลิก ดังนั้น ก่อนเริ่มทำคอนเทนต์ควรแน่ใจก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใครและชื่นชอบเรื่องอะไรเป็นพิเศษ เพื่อการคิดหัวข้อคอนเทนต์แบบโดน ๆ

อัปเดตคอนเทนต์สม่ำเสมอ
นอกจากการผลิตคอนเทนต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายแล้ว การอัปเดตคอนเทนต์ใหม่เสมอยังเป็นตัวช่วยทำให้กลุ่มเป้าหมายติดตามเว็บไซต์คุณเรื่อย ๆ เพราะไม่ว่าใครก็อยากติดตามคอนเทนต์สดใหม่ อีกทั้งการอัปเดตคอนเทนต์เรื่อย ๆ ยังช่วยเพิ่มคะแนนจาก Search Engine ได้อีกด้วย

การใส่คีย์เวิร์ดลงในคอนเทนต์
ข้อดีของการทำ SEO ที่เห็นได้ชัดคือการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตรงจุด เพราะกลุ่มเป้าหมายจะค้นหาเรื่องที่สนใจด้วยคีย์เวิร์ดผ่าน Search Engine ดังนั้น เพื่อให้ค้นหาเจอเว็บไซต์ของเรา แนะนำให้วิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่กลุ่มเป้าหมายนิยมใช้เพื่อค้นหา แล้วใส่คีย์เวิร์ดนั้น ๆ ลงในคอนเทนต์ ตัวอย่างเช่น “ทีเด็ดบอลวันนี้” รวมถึงควรใส่ในรูปภาพ ชื่อไฟล์ภาพ รวมถึงใส่ใน URL อีกด้วย

ให้ความสำคัญกับรูปภาพและวิดีโอ
หากพูดถึงคอนเทนต์แล้ว หลายคนอาจนึกถึงข้อความในเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว แต่แท้จริงแล้วยังหมายถึงรูปภาพและวิดีโอด้วย การออกแบบรูปภาพให้สวยงามน่าดึงดูด และมีวิดีโอน่าสนใจ มีส่วนช่วยเพิ่มจำนวนคลิกได้เป็นอย่างดี และเพิ่มระยะเวลารับชมเว็บไซต์ได้ด้วย

ติดตามผลลัพธ์เสมอ
เมื่อลงคอนเทนต์เรียบร้อยแล้ว แนะนำให้ติดตามผลลัพธ์ โดยอาจเลือกใช้เครื่องมือ Google Analytics ซึ่งเครื่องมือนี้จะช่วยให้คุณเห็นสถิติเว็บไซต์และพฤติกรรมการใช้งานของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาคอนเทนต์ เพื่อให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น

นอกจากการทำคอนเทนต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายแล้ว การทำ SEO ให้ได้ผลยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น การทำรูปภาพให้สวยงาม การทำ Backlink การออกแบบเว็บไซต์ให้แสดงผลบนสมาร์ทโฟนได้อย่างพอดี หรือที่เรียกว่า Mobile-friendly รวมถึงการทำให้ลูกค้าโหลดเข้าใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วไม่มีสะดุด ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลอย่างยิ่งในการเพิ่มคะแนนเว็บไซต์และทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ของ Search Engine อย่างง่ายดาย

4 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการทำ SEO ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

สำหรับนักธุรกิจออนไลน์ในยุคปัจจุบันแล้ว การทำ SEO เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ธุรกิจติดอันดันบนหน้าการค้นหาของ Google ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่สามารถเพิ่มโอกาสให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำมากขึ้น มีอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องเน้นไว้คือ นักธุรกิจมือใหม่หลายคนมักมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการทำ SEO ที่ถูกต้องอยู่ไม่น้อย จนบางครั้งการทำ SEO ก็ไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ ดังนั้น วันนี้เราจึงจะมาบอกเล่าถึง 4 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการทำ SEO ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

1.ใช้คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ ให้มากที่สุด
หลายคนมักเข้าใจว่าการทำ SEO ให้ติดอันดับคือการใช้ “คีย์เวิร์ด” ซ้ำกันเยอะ ๆ ยิ่งมากยิ่งดี ซึ่งความจริงแล้ว Google มีระบบ “อัลกอริทึม” ที่จะคอยจัดการกับเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ โดยเฉพาะคอนเทนต์ที่ใส่คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ กันจนดูไม่เป็นธรรมชาติของภาษาเขียน อาจถูก Google มองว่าเป็น “สแปม” ซึ่งนอกจากจะไม่น่าอ่านสำหรับผู้เข้ามาชมเว็บไซต์แล้ว ยังลดความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เราอีกด้วย

2.เลือกใช้คีย์เวิร์ดกว้าง ๆ เพื่อง่ายต่อการค้นหา
หลายคนมักคิดว่าการเลือกใช้คีย์เวิร์ดกว้าง ๆ จะช่วยให้ผู้ใช้งานเห็นเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น แต่ความจริงแล้ว ยิ่งเราใช้คีย์เวิร์ดกว้าง ๆ มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีโอกาสเจอคู่แข่งที่ใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน หรือทำธุรกิจออนไลน์ประเภทเดียวกันมากขึ้น ถ้าหากเราเป็นเว็บไซต์เล็ก ๆ มีสินค้าหรือบริการให้เลือกไม่มาก การใช้คีย์เวิร์ดเพียงคำสั้น ๆ จะทำให้ยิ่งยากต่อการแข่งขันกับเว็บไซต์อื่นที่ครองพื้นที่อยู่ก่อนแล้ว

3.คัดลอกคอนเทนต์ของเว็บไซต์อื่นมาใช้
ปัจจุบัน Google ให้ความสำคัญเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมาก หากเราก็อปปี้หรือคัดลอกคอนเทนต์ของเว็บไซต์อื่นที่ติดอันดับอยู่ก่อนหน้าเพื่อหวังจะได้ติดอันดับบ้าง ก็มีโอกาสสูงที่จะถูก Google แบนเนื้อหาของเราในหน้านั้นไปเลย แถมเว็บไซต์ของเราอาจถูกลดอันดับฐานไม่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือพอจะติดอันดับของ Google นอกจากนี้ หากเจ้าของคอนเทนต์พบเห็นว่าเว็บไซต์ของเรามีการคัดลอกคอนเทนต์หรือบทความของเขา เราก็อาจโดนฟ้องข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์อีกด้วย เรียกว่าไม่คุ้มเลยจริง ๆ

4.หา link จากภายนอกหรือ Backlink ยิ่งมากยิ่งดี
ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะว่าการพยายามสร้าง Backlink เองที่ไม่ได้เกิดจากการเพิ่มจำนวนตามธรรมชาติหรือตามคุณภาพของบทความ ก็ไม่ต่างจากการสแปม ซึ่ง Google ก็มีความสามารถวิเคราะห์ความผิดปกติของ Backlinks ต่าง ๆ ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ควรใช้เวลาสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจจะดีกว่า แล้ว Backlinks จะเพิ่มขึ้นเองตามธรรมชาติ เมื่อมีผู้อ้างถึงหรือแชร์ต่อ ๆ กันไปบนโลกออนไลน์

การทำ SEO นั้น หลายคนมักจะไปผิดทาง เพราะอยากเร่งให้เห็นผลโดยเร็ว ด้วยวิธีที่ได้ยินมาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่กลั่นกรอง ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจทำสิ่งใด ขอให้พิจารณาตามหลักและคำแนะนำโดยตรงของ Google จะดีกว่า ซึ่งสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากที่เว็บเพจนี้

รู้จักระบบ algorithm ด้าน SEO ของ Google

คุณภาพของเว็บไซต์ SEO นั้นจะถูกจัดลำดับได้ด้วยการตรวจเช็คของระบบ algorithm ของ Google ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 10 ชนิดที่ Google ใช้ในเปรียบเทียบวัดระดับคุณภาพของเว็บไซต์ที่ใช้คีย์เวิร์ดต่าง ๆ ซึ่งส่งผลต่อคะแนนความน่าเชื่อถือและการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายตามไปด้วย
เรามาดูกันว่าระบบ algorithm ด้าน SEO ของ Google นั้นมีอะไรบ้าง

1.แพนด้า
ระบบแพนด้านั้นเริ่มใช้มาประมาณ 10 ปีแล้ว มีหน้าที่ในการตรวจสอบเนื้อหาของเว็บไซต์ว่ามีรายละเอียดที่เป็นเอกลักษณ์มากน้อยอย่างไร ให้คุณค่ากับผู้อ่านมากเพียงใด มีการใช้ keyword ซ้ำบ่อย โดยรบกวนสายตาผู้อ่านหรือไม่ หากมีส่วนของเนื้อหาที่เป็นการโฆษณามากกว่าสาระที่เป็นประโยชน์หรือใช้ spam keyword ก็จะทำให้อันดับ SEO ลดต่ำลงได้ ดังนั้น หากจ้างงานนักเขียนบทความออนไลน์ก็ควรตรวจสอบเรื่องการใส่คีย์เวิร์ดซ้ำมากเกินไปและการคัดลอกจากแหล่งอื่นหรือการ plagiarism ด้วย

2.เพนกวิน
เพนกวินเป็นระบบที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2012 มีหน้าที่ในการตรวจลิงก์เชื่อมโยงต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า backlink การเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่เพจที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันและมีความน่าเชื่อถือสูงจะช่วยให้อันดับ SEO ดียิ่งขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น ทำเว็บไซต์ขายอาหารเสริมกลุ่มวิตามินซี ก็ควรเชื่อมโยงลิงก์ส่วนสาระความรู้ของวิตามินซีว่าให้ประโยชน์อย่างไร ไปที่เว็บไซต์ต่างประเทศที่มีข้อมูลการวิจัยเป็นภาษาอังกฤษ เป็นต้น

3.ไพเรท
เป็นระบบที่ตรวจสอบการละเมิดลิขสิทธิ์ของเนื้อหาและรูปภาพในแต่ละโพสต์ หากระบบพบว่ามีการแอบอ้างใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ หรือถูกรายงานจากเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรง ก็จะทำให้ถูกลดอันดับ SEO ได้ วิธีลดความเสี่ยงละเมิดลิขสิทธิ์ คือ การผลิตเนื้อหาที่สดใหม่ด้วยทีมงานของเว็บไซต์เอง รวมถึงการจ้างนักกราฟิกทำภาพที่เหมาะสมด้วยโปรแกรมต่าง ๆ เช่น adobe photoshop, illustrator ซึ่งจะได้ภาพสวยงามไม่ซ้ำใคร หรือหาแหล่งดาวน์โหลดภาพฟรีในเว็บไซต์ต่าง ๆ แต่ก็ต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของภาพด้วยเสมอ

4.ระบบเช็คความเป็นมิตรกับโทรศัพท์มือถือ
เป็นระบบที่เริ่มใช้มาประมาณ 5 ปีมานี้ เป็นการตรวจสอบว่าเว็บไซต์นั้น ๆ เหมาะสมกับการแสดงผลผ่านหน้าจอทุกรูปแบบหรือไม่ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต ดังนั้นเจ้าของเว็บไซต์จึงต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญทางด้านไอที ในการในการปรับแต่งในส่วนนี้ให้ดีที่สุดด้วย หากตอบโจทย์การใช้งานได้ดีในทุกอุปกรณ์ ก็จะทำให้ระดับ SEO สูงขึ้นด้วย

จะเห็นได้ว่า ระบบ algorithm SEO ของ Google ที่ออกแบบขึ้นมา มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมคุณภาพของเว็บไซต์ ทำให้ผู้ที่ตั้งใจทำธุรกิจออนไลน์พากันพัฒนาเว็บไซต์ให้สวยงามและใช้ง่าย มีสาระเนื้อหาที่สดใหม่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากขึ้น เราหวังว่าบทความนี้ช่วยให้ทุกท่านตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ SEO ในเชิงลึกมากขึ้น เพื่อให้การทำธุรกิจออนไลน์ประสบความสำเร็จ

3 เหตุผลที่เจ้าของสินค้าควรทำ SEO

SEO คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีโครงสร้างและสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งาน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่ Google แนะนำ ตามปกติแล้วในหน้าผลการค้นหาแต่ละหน้า จะมี 10 อันดับ แต่ว่าอัลกอริทึมของ Google นั้นก็มีการอัปเดตและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น อันดับในเว็บไซต์จึงมีโอกาสถูกปรับเปลี่ยนได้เสมอ ซึ่งหากใครได้อยู่อันดับหนึ่งหรืออย่างน้อยติดอันดับในหน้าแรก ก็จะได้ประโยชน์ทางธุรกิจอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาบอก 3 เหตุผลที่เจ้าของสินค้าควรทำ SEO ดังต่อไปนี้

เหตุผลที่ 1 ทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของเจ้าของสินค้า
การเขียนบทความเข้าไปบนเว็บไซต์ ช่วงแรก Google จะยังไม่ทราบว่าเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับสินค้าอะไรเป็นพิเศษ เจ้าของสินค้าจึงจำเป็นต้องทำ SEO และเน้นการทำบทความสินค้าที่น่าอ่าน ให้ประโยชน์กับผู้ใช้ ทั้งนี้ต้องมีการค้นคว้าคีย์เวิร์ดที่ผู้คนนิยมค้นหาด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสการถูกค้นเจอได้ง่าย การใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้องและการทำเนื้อหาที่ดีมีคุณภาพ จะทำให้เกิดการแชร์เนื้อหาต่อไปยังแหล่งอื่น ๆ ในอินเทอร์เน็ต ก็จะยิ่งทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของเจ้าของสินค้ามากขึ้น และเมื่อ Google เริ่มให้ความน่าเชื่อถือแล้ว เว็บไซต์ก็จะมีโอกาสถูกจัดอันดับในผลการค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องมากขึ้นเรื่อย ๆ

เหตุผลที่ 2 SEO ช่วยทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา
การที่เจ้าของสินค้าหลายคนสงสัยว่า ทำไมต้องทำ on page optimization คำตอบคือทำให้เกิดประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า Good User Experience ยิ่งเว็บไซต์ขายสินค้าสร้างประสบการณ์ที่ดีมากเท่าไหร่ เนื้อหาของเว็บไซต์นั้นก็มีโอกาสติดอันดับหน้าแรกมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้เจ้าของสินค้าหลายคนยังสงสัยอีกว่า ทำไมต้องทำ Off page optimization ด้วย คำตอบคือทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Authority หรือความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับเช่นเดียวกัน หากเว็บไซต์สินค้าใดมีค่า Authority มาก โอกาสที่เว็บไซต์นั้นจะถูกนำแสดงในหน้าแรกหรืออันดับต้น ๆ ก็เพิ่มมากขึ้น

เหตุผลที่ 3 เนื้อหาที่อัปเดตทันสมัย จะเป็นที่ถูกใจของ Google
ในกระบวนการทำ SEO นั้น จะต้องมีการอัปเดตเนื้อหาใหม่ ๆ นำเสนออย่างต่อเนื่อง โดยเกี่ยวกับข้อมูลสินค้าและบริการ เช่น แนะนำการใช้งาน หรือเสนอข่าวสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เว็บไซต์ดูมีความเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ และมีทราฟฟิกหรือผู้ชมในอัตราคงที่หรือเพิ่มขึ้น ซึ่ง Google จะให้ความสนใจเว็บไซต์ที่มีความเคลื่อนไหวอยู่สม่ำเสมอ ดังนั้น SEO จึงเป็นสิ่งที่เจ้าของสินค้าควรใส่ใจและวางแผนทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ Google มองว่าเป็นเว็บที่กำลังดำเนินงานอยู่ และมีโอกาสถูกจัดอันดับในผลการค้นหาที่ดีขึ้นด้วย

นอกเหนือจากการทำ SEO แล้ว เจ้าของสินค้าต้องไม่ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือคุณภาพของสินค้าหรือบริการ เพราะหากติดอันดับหน้าแรกได้แล้ว แต่ถ้าสินค้าไม่สนองความต้องการ หรือไม่ถูกใจผู้บริโภค การติดอันดับหน้าแรกก็จะไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจมีกำไรนัก ในทางตรงกันข้าม หากสินค้าคุณภาพดีถูกใจผู้ใช้ การติดอันดับหน้าแรกก็จะกลายเป็นแรงบวก ส่งผลให้สร้างยอดขายได้มากขึ้น

สิ่งที่ต้องระวังในการทำ SEO

การทำธุรกิจออนไลน์จำเป็นต้องมีเว็บไซต์หรือเพจในเฟซบุ๊ก เพื่อใช้ในการเผยแพร่บทความประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและบริการ เพื่อกระตุ้นยอดขายและทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในแบรนด์ โดยในปัจจุบันการทำระบบ SEO หรือ search engine optimization มีความสำคัญมาก เพราะช่วยเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาในเว็บไซต์หรือเพจของคุณได้มากขึ้น

ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องระวังในการทำเว็บไซต์ SEO มีประเด็นที่สำคัญ ดังนี้

  1. การคัดลอกเนื้อหา

เนื้อหาบทความในเว็บไซต์หรือเพจ SEO ควรเป็นข้อมูลใหม่ ไม่ไปคัดลอกจากเว็บไซต์ใด ๆ มา เพื่อให้ไม่มีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งอาจถูกเว็บไซต์ต้นฉบับแจ้งรายงานต่อกูเกิ้ล หรือถูกระบบ algorithm ตรวจจับได้ การเขียนเรียบเรียงใหม่หรือการแปลจากภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาจีน อังกฤษ เกาหลี โดยเฉพาะข่าวดาราต่างประเทศ ข่าวเศรษฐกิจการเมือง ฯลฯ ควรทำเป็นสำนวนตัวเองด้วยเช่นกัน ไม่ควรใช้ระบบ Google Translate ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ มิฉะนั้นจะถูกลดคะแนนอันดับการค้นหาลงไปด้านล่างได้

  1. ความยาวของเนื้อหา

การทำ SEO ให้กับบทความที่อยู่บนเว็บไซต์ ควรมีความยาวมากกว่า 1,000 คำ และเน้นเนื้อหาสาระที่เข้มข้น ตอบโจทย์กลุ่มคนเป้าหมายที่ต้องการหาข้อมูลในเชิงลึกแต่ถ้าทำ SEO ให้กับเพจที่อยู่บน Facebook ควรทำความยาวที่ 100-300 คำ เพราะกลุ่มคนที่ใช้งานเฟซบุ๊กมีความสนใจแตกต่างไปจากเว็บไซต์ ส่วนใหญ่แล้วคนที่เล่น Facebook จะนิยมชมคลิปวีดีโอและอ่านข้อความแบบสั้น ๆ จึงไม่ควรทำเนื้อหายาวเท่ากันหรือใช้ภาพเดียวกันโพสต์ในหลายแพลตฟอร์ม ถ้าเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคเช่นนี้ ก็จะวางแผนทำเนื้อหา SEO ที่เหมาะสมได้

  1. ลิขสิทธิ์รูปภาพ

รูปภาพที่ใช้ประกอบในเพจหรือเว็บไซต์ จำเป็นต้องปลอดปัญหาลิขสิทธิ์ กล่าวคือ ต้องไปหาจากเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งรวบรวมภาพฟรี เพื่อนำมาใช้ได้โดยไม่ถูกฟ้องร้อง หรือสร้างสรรค์ภาพใหม่ขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายรูป และตัดแต่งด้วย Application ต่าง ๆ มิฉะนั้นจะถูกรายงานจากเจ้าของผลงานและเสียค่าปรับการละเมิดลิขสิทธิ์ได้

  1. การตั้งชื่อเพจ

ไม่ควรตั้งชื่อเพจหรือเว็บไซต์แบบขาดหลักการ หากต้องการถูกสืบค้นง่าย ควรใช้ชื่อที่มี keyword ที่คนนิยมสืบค้นและตรงกับสินค้าที่จำหน่ายด้วย เช่น ทำเว็บไซต์ขายดอกไม้ ก็ควรมีคำว่าดอกไม้ หรือ flower หรือ รับทำ SEO ก็ควรมีคำว่า SEO เป็นส่วนประกอบในชื่อเว็บไซต์ด้วย ซึ่งจะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจดจำง่าย มีโอกาสได้ลูกค้าใหม่และลูกค้าประจำมากขึ้น

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO มีข้อที่ควรระวังหลายอย่าง หากคุณเข้าใจหลักการและนำมาปรับใช้ในส่วนต่าง ๆ นอกจากจะไม่พลาดทำผิดกฎของ Google หรือเฟซบุ๊ก จนถูกระบบ algorithm ตรวจจับได้แล้ว ยังช่วยให้การทำธุรกิจออนไลน์เติบโตได้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านยอดขายและจำนวนลูกค้าในระยะยาวด้วย

SEO ช่วยเพิ่มโอกาสด้านไหนบ้างในหลักธุรกิจยุคใหม่

การตลาดออนไลน์ที่คุณเห็นข้อมูลมักจะเห็นทาง Facebook Youtube เป็นส่วนใหญ่ แต่การตลาดทาง Google นั้นก็สามารถทำได้เช่นกัน เพราะเป็น Search Engine ที่มีการใช้งานมากที่สุดในโลก โดยสถิติในแต่ละวันมีการค้นหาถึง 35 ล้านครั้งต่อวัน หมายความว่า มีกลุ่มลูกค้าที่คุณสามารถเข้าถึงได้ในจำนวนมหาศาล เมื่อมีการทำ SEO จะมีอัลกอริทึม (Algorithm) วัดว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณภาพหรือไม่ เช่น คนเข้ามาดูเยอะรึเปล่า เนื้อหาถูกต้องหรือเหมาะสมและมีการหลอกลวงหรือไม่ เป็นต้น ซึ่งเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือกับเว็บของคุณได้ โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่มีผู้คนเข้ามามากมายในแต่ละวัน

การขยายตลาดจากพฤติกรรมค้นหาผู้ใช้

การเพิ่มช่องทางการตลาดสามารถโปรโมทด้วยการทำ SEO ซึ่งจะส่งผลดีต่อธุรกิจหรือการขายสินค้าได้ หมายความว่า หากมีคนเข้าเว็บไซต์ประมาณ 10,000 คน ก็อาจมีการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการถึงหลักร้อยคน ยิ่งถ้าเว็บไซต์มีจุดเด่น ก็จะทำให้ผู้คนรู้จักมากขึ้นไปอีก จนเป็นที่รู้จักในประเทศและยังสามารถขยายไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ถึงแม้ว่าการทำ SEO อาจจะใช้เวลานานแต่ก็มีประสิทธิภาพในการโปรโมทหรือการทำการตลาดโดยที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาเว็บไซต์ ซึ่งจะดีกว่าเมื่อมีการเปรียบเทียบในด้านค่าใช้จ่ายกับการโปรโมทด้วยวิธีอื่นหรือการยิงแอดแบบคีย์เวิร์ด เช่น หากมีธุรกิจหนึ่งที่เกี่ยวกับการขายรองเท้ากีฬา แล้วลูกค้าที่ซื้อรองเท้ากีฬาก็จะค้นหาว่า “รองเท้ากีฬาผู้ชาย” ‘รองเท้าเตะฟุตบอล” “รองเท้าฟิตเนส” เจ้าของธุรกิจที่ขายรองเท้ากีฬาก็จะซื้อโฆษณาจากระบบ เช่น Google Ads โดยใช้คำที่ลูกค้านิยมค้นหาไปตั้งค่าไว้ ถ้าโฆษณาขึ้นแสดงและถูกคลิก ก็จะจ่ายค่าโฆษณาแบบต่อ 1 คลิก ในทางตรงข้าม การทำ SEO สามารถแสดงเว็บไซต์ในหน้าผลการค้นหาแบบธรรมชาติอยู่แล้ว และไม่ต้องเสียเงินเมื่อถูกคลิก ในระยะยาวจึงประหยัดกว่านั่นเอง

ลูกค้าตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ได้วางไว้

เมื่อเว็บไซต์ของคุณเป็นที่รู้จักแล้ว ก็จะช่วยให้ได้ลูกค้าตรงตามกลุ่มเป้าหมาย เช่น คีย์เวิร์ด คำว่า “ผลบอลเมื่อคืนแมนยู” กลุ่มเป้าหมายที่จะมาดูเว็บนั้น จะตรงกลุ่มกว่าการค้นหาผ่านคำกว้าง ผลบอลเมื่อคืน ผลบอลเมื่อวาน แต่แน่นอนเราควรมีข้อมูลหน้าเว็บให้สอดคล้องกับคีย์ด้วย ไม่เช่นนั้นผู้ใช้จะเข้ามาแล้วปิดเว็บทิ้งไปในเวลาอันสั้น โอกาสเสนอโฆษณาต่างๆจะน้อยลง นอกจากนี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเหนือคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน เนื่องจากการทำ SEO จะทำให้ได้พบกลุ่มเป้าหมายที่กว้างขวางมากกว่าการเปิดร้านอย่างเดียวโดยที่ไม่ทำ SEO

นี่คือแนวทางที่สามารถทำให้เว็บไซต์ของคุณได้ทำเลที่ดีหรือติดหน้าแรกของผลการค้นหา ซึ่งจะส่งผลดีในการเพิ่มโอกาสด้านต่าง ๆ ที่เราได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น ดังนั้น การทำ SEO ปรับปรุงหน้าเว็บไซต์เพื่อให้เหมาะสมกับ Search Engine จึงมีความสำคัญในการจัดอันดับให้ดีขึ้น ทำให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางธุรกิจได้รวดเร็วและยั่งยืน

วิธีและ SEO เพื่อเอาตัวรอดบน Facebook Algorithm 2020

Facebook เป็นสื่อ Social media ที่มีจำนวนผู้ใช้งานมากที่สุดในโลกเป็นอันดับ 1 ทำให้นักการตลาดส่วนใหญ่จึงให้ความสำคัญในการทำการตลาดบน Facebook เพื่อดึงความสนใจกลุ่มเป้าหมายที่เป็น User Facebook ให้เข้ามาสู่ธุรกิจของตัวเอง

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2004 จนถึงปัจจุบัน Facebook มีการปรับอัปเดตระบบหลายครั้งเพื่อให้ได้การแสดงผลตอบโจทย์กับ User มากที่สุด โดยในยุคแรกที่ยังไม่มี Algorithm ในการจัดการข้อมูล Facebook เน้นที่การโชว์ข้อความที่โพสต์ใหม่ให้ผู้ใช้งานได้เห็นก่อนเพื่อให้ผู้ใช้งานไม่ตกเทรนด์ล่าสุด ต่อมาในปี ค.ศ. 2015 Facebook เพิ่ม Algorithm เข้ามาเพื่อปรับให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกข้อมูลที่ตัวเองต้องการเห็นก่อนได้ด้วยตัวเองเพียงกดปุ่ม See First บน Facebook page จนกระทั่งในปี ค.ศ.2018 Facebook ได้นำการใช้งานแบบ Engagement ที่เน้นการโต้ตอบมาใช้เพื่อลดจำนวนโพสต์ขายสินค้าลงและเพิ่มความสำคัญในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ใช้ให้เพิ่มมากขึ้น

ในปี ค.ศ. 2020 Facebook ได้มีการปรับ Algorithm อีกครั้งเพื่อนำเสนอโพสต์ที่ถูกใจผู้ใช้งานมากขึ้น ทำให้โพสต์ขายของหมดไป โดยวิธีการเอาตัวรอดหลังจากปรับ Algorithm ครั้งใหม่สามารถทำได้ ดังนี้

วิธีการเอาตัวรอดหลังจากปรับ Algorithm

กำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน การทำโพสต์บน Facebook ในปี 2020 เน้นให้มีการตอบโต้กันระหว่างเพจและผู้ใช้งาน ทำให้โพสต์การทำโพสต์ที่ดึงดูดให้ผู้ใช้งานคอมเม้นท์ กดปุ่ม Emotion หรือกดแชร์ จึงถูกแสดงบนหน้าฟีดนานกว่าและยังเป็นวิธีสร้างฐานแฟนคลับที่ดีกว่า ซึ่ง Content ที่น่าสนใจควรมีความเฉพาะเจาะจงและนำ SEO มาใช้เพื่อเรียกกลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาสู่ Facebook page ให้เพิ่มมากขึ้น

กำหนดช่วงเวลาโพสต์ การโพสต์ข้อมูลในช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย จะทำให้โพสต์มีประสิทธิภาพมากกว่า ดังนั้นจึงควรโพสต์ Content ใหม่ ในช่วงเวลาเดิมทุกวันเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้ทราบเวลาในการอัปเดตข้อมูล

นำ VDO Content มาใช้ เนื่องจากพฤติกรรมของกลุ่มผู้ใช้งานโดยส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่มีเวลามากพอในการอ่าน Content ดังนั้น การทำ VDO จึงเป็นทางเลือกที่ช่วยประหยัดเวลาในการรับข้อมูลมากขึ้น โดยความยาวของ VDO ที่เหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 3 นาที

สร้าง Facebook Group เพื่อจับกลุ่มเป้าหมาย การตั้ง Group บน Facebook โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน จะทำให้สามารถนำเสนอ Content ให้กับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มได้ง่ายขึ้น และยังเป็นวิธีสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

Call to action เน้นย้ำให้แชร์ กลุ่มเป้าหมายย่อมมีการตอบโต้และกดติดตาม Facebook page หรือ Facebook group ที่ตนเองสนใจอยู่แล้ว แต่การเน้นย้ำให้กลุ่มเป้าหมายแชร์ Content เป็นวิธีที่ช่วยขยายฐานกลุ่มเป้าหมายให้เพิ่มมากขึ้น และยังเป็นวิธีที่ช่วยประหยัดค่าโฆษณาได้ดีกว่า

การปรับตัวให้เข้ากับ Algorithm ที่ Facebook กำหนดไว้เพียง 5 วิธีข้างต้น เป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำกำไรได้จาก Social media อันดับ 1 ของโลกได้อย่างต่อเนื่อง

วิธีการเอาตัวรอดหลังจากปรับ Algorithm