เทคนิคทำคอนเทนต์ SEO ให้ปังจนติดหน้าแรกของ Search Engine

มาถึงยุคนี้ไม่มีใครไม่รู้จักการทำ SEO หรือการปั้นเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรกของ Search Engine โดยการทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ นอกจากช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือแล้ว ยังเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักเว็บไซต์ของคุณมากยิ่งขึ้น นำมาซึ่งผลดีในการทำการตลาดและเพิ่มโอกาสการขายสินค้าและบริการ โดยหนึ่งในหัวใจสำคัญของการทำ SEO คือการทำคอนเทนต์ให้มีคุณภาพและตรงใจผู้อ่าน โดยมีหลายเทคนิคการทำคอนเทนต์ให้ปัง เพื่อให้ติดหน้าแรกของ Search Engine ได้แบบไม่ยาก

เทคนิคทำคอนเทนต์ เพื่อให้ติดหน้าแรกของ Search Engine

คอนเทนต์โดนใจกลุ่มเป้าหมาย
การจัดทำคอนเทนต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมาย ถือเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี เพราะคอนเทนต์ที่ตรงตามความต้องการ ย่อมทำให้เพิ่มจำนวนคลิก ดังนั้น ก่อนเริ่มทำคอนเทนต์ควรแน่ใจก่อนว่ากลุ่มเป้าหมายเป็นใครและชื่นชอบเรื่องอะไรเป็นพิเศษ เพื่อการคิดหัวข้อคอนเทนต์แบบโดน ๆ

อัปเดตคอนเทนต์สม่ำเสมอ
นอกจากการผลิตคอนเทนต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายแล้ว การอัปเดตคอนเทนต์ใหม่เสมอยังเป็นตัวช่วยทำให้กลุ่มเป้าหมายติดตามเว็บไซต์คุณเรื่อย ๆ เพราะไม่ว่าใครก็อยากติดตามคอนเทนต์สดใหม่ อีกทั้งการอัปเดตคอนเทนต์เรื่อย ๆ ยังช่วยเพิ่มคะแนนจาก Search Engine ได้อีกด้วย

การใส่คีย์เวิร์ดลงในคอนเทนต์
ข้อดีของการทำ SEO ที่เห็นได้ชัดคือการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายตรงจุด เพราะกลุ่มเป้าหมายจะค้นหาเรื่องที่สนใจด้วยคีย์เวิร์ดผ่าน Search Engine ดังนั้น เพื่อให้ค้นหาเจอเว็บไซต์ของเรา แนะนำให้วิเคราะห์คีย์เวิร์ดที่กลุ่มเป้าหมายนิยมใช้เพื่อค้นหา แล้วใส่คีย์เวิร์ดนั้น ๆ ลงในคอนเทนต์ ตัวอย่างเช่น “ทีเด็ดบอลวันนี้” รวมถึงควรใส่ในรูปภาพ ชื่อไฟล์ภาพ รวมถึงใส่ใน URL อีกด้วย

ให้ความสำคัญกับรูปภาพและวิดีโอ
หากพูดถึงคอนเทนต์แล้ว หลายคนอาจนึกถึงข้อความในเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว แต่แท้จริงแล้วยังหมายถึงรูปภาพและวิดีโอด้วย การออกแบบรูปภาพให้สวยงามน่าดึงดูด และมีวิดีโอน่าสนใจ มีส่วนช่วยเพิ่มจำนวนคลิกได้เป็นอย่างดี และเพิ่มระยะเวลารับชมเว็บไซต์ได้ด้วย

ติดตามผลลัพธ์เสมอ
เมื่อลงคอนเทนต์เรียบร้อยแล้ว แนะนำให้ติดตามผลลัพธ์ โดยอาจเลือกใช้เครื่องมือ Google Analytics ซึ่งเครื่องมือนี้จะช่วยให้คุณเห็นสถิติเว็บไซต์และพฤติกรรมการใช้งานของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนพัฒนาคอนเทนต์ เพื่อให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้น

นอกจากการทำคอนเทนต์ให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายแล้ว การทำ SEO ให้ได้ผลยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น การทำรูปภาพให้สวยงาม การทำ Backlink การออกแบบเว็บไซต์ให้แสดงผลบนสมาร์ทโฟนได้อย่างพอดี หรือที่เรียกว่า Mobile-friendly รวมถึงการทำให้ลูกค้าโหลดเข้าใช้งานเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วไม่มีสะดุด ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลอย่างยิ่งในการเพิ่มคะแนนเว็บไซต์และทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ของ Search Engine อย่างง่ายดาย

4 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการทำ SEO ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

สำหรับนักธุรกิจออนไลน์ในยุคปัจจุบันแล้ว การทำ SEO เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ธุรกิจติดอันดันบนหน้าการค้นหาของ Google ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญที่สามารถเพิ่มโอกาสให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำมากขึ้น มีอีกประเด็นหนึ่งที่ต้องเน้นไว้คือ นักธุรกิจมือใหม่หลายคนมักมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนเกี่ยวกับการทำ SEO ที่ถูกต้องอยู่ไม่น้อย จนบางครั้งการทำ SEO ก็ไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ต้องการ ดังนั้น วันนี้เราจึงจะมาบอกเล่าถึง 4 ความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับการทำ SEO ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้

1.ใช้คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ ให้มากที่สุด
หลายคนมักเข้าใจว่าการทำ SEO ให้ติดอันดับคือการใช้ “คีย์เวิร์ด” ซ้ำกันเยอะ ๆ ยิ่งมากยิ่งดี ซึ่งความจริงแล้ว Google มีระบบ “อัลกอริทึม” ที่จะคอยจัดการกับเนื้อหาที่ไม่มีคุณภาพ โดยเฉพาะคอนเทนต์ที่ใส่คีย์เวิร์ดซ้ำ ๆ กันจนดูไม่เป็นธรรมชาติของภาษาเขียน อาจถูก Google มองว่าเป็น “สแปม” ซึ่งนอกจากจะไม่น่าอ่านสำหรับผู้เข้ามาชมเว็บไซต์แล้ว ยังลดความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เราอีกด้วย

2.เลือกใช้คีย์เวิร์ดกว้าง ๆ เพื่อง่ายต่อการค้นหา
หลายคนมักคิดว่าการเลือกใช้คีย์เวิร์ดกว้าง ๆ จะช่วยให้ผู้ใช้งานเห็นเว็บไซต์ของเราได้ง่ายขึ้น แต่ความจริงแล้ว ยิ่งเราใช้คีย์เวิร์ดกว้าง ๆ มากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีโอกาสเจอคู่แข่งที่ใช้คีย์เวิร์ดเดียวกัน หรือทำธุรกิจออนไลน์ประเภทเดียวกันมากขึ้น ถ้าหากเราเป็นเว็บไซต์เล็ก ๆ มีสินค้าหรือบริการให้เลือกไม่มาก การใช้คีย์เวิร์ดเพียงคำสั้น ๆ จะทำให้ยิ่งยากต่อการแข่งขันกับเว็บไซต์อื่นที่ครองพื้นที่อยู่ก่อนแล้ว

3.คัดลอกคอนเทนต์ของเว็บไซต์อื่นมาใช้
ปัจจุบัน Google ให้ความสำคัญเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาอย่างมาก หากเราก็อปปี้หรือคัดลอกคอนเทนต์ของเว็บไซต์อื่นที่ติดอันดับอยู่ก่อนหน้าเพื่อหวังจะได้ติดอันดับบ้าง ก็มีโอกาสสูงที่จะถูก Google แบนเนื้อหาของเราในหน้านั้นไปเลย แถมเว็บไซต์ของเราอาจถูกลดอันดับฐานไม่มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือพอจะติดอันดับของ Google นอกจากนี้ หากเจ้าของคอนเทนต์พบเห็นว่าเว็บไซต์ของเรามีการคัดลอกคอนเทนต์หรือบทความของเขา เราก็อาจโดนฟ้องข้อหาละเมิดลิขสิทธิ์อีกด้วย เรียกว่าไม่คุ้มเลยจริง ๆ

4.หา link จากภายนอกหรือ Backlink ยิ่งมากยิ่งดี
ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะว่าการพยายามสร้าง Backlink เองที่ไม่ได้เกิดจากการเพิ่มจำนวนตามธรรมชาติหรือตามคุณภาพของบทความ ก็ไม่ต่างจากการสแปม ซึ่ง Google ก็มีความสามารถวิเคราะห์ความผิดปกติของ Backlinks ต่าง ๆ ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ควรใช้เวลาสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจจะดีกว่า แล้ว Backlinks จะเพิ่มขึ้นเองตามธรรมชาติ เมื่อมีผู้อ้างถึงหรือแชร์ต่อ ๆ กันไปบนโลกออนไลน์

การทำ SEO นั้น หลายคนมักจะไปผิดทาง เพราะอยากเร่งให้เห็นผลโดยเร็ว ด้วยวิธีที่ได้ยินมาจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ โดยไม่กลั่นกรอง ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจทำสิ่งใด ขอให้พิจารณาตามหลักและคำแนะนำโดยตรงของ Google จะดีกว่า ซึ่งสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากที่เว็บเพจนี้

รู้จักระบบ algorithm ด้าน SEO ของ Google

คุณภาพของเว็บไซต์ SEO นั้นจะถูกจัดลำดับได้ด้วยการตรวจเช็คของระบบ algorithm ของ Google ซึ่งปัจจุบันมีประมาณ 10 ชนิดที่ Google ใช้ในเปรียบเทียบวัดระดับคุณภาพของเว็บไซต์ที่ใช้คีย์เวิร์ดต่าง ๆ ซึ่งส่งผลต่อคะแนนความน่าเชื่อถือและการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายตามไปด้วย
เรามาดูกันว่าระบบ algorithm ด้าน SEO ของ Google นั้นมีอะไรบ้าง

1.แพนด้า
ระบบแพนด้านั้นเริ่มใช้มาประมาณ 10 ปีแล้ว มีหน้าที่ในการตรวจสอบเนื้อหาของเว็บไซต์ว่ามีรายละเอียดที่เป็นเอกลักษณ์มากน้อยอย่างไร ให้คุณค่ากับผู้อ่านมากเพียงใด มีการใช้ keyword ซ้ำบ่อย โดยรบกวนสายตาผู้อ่านหรือไม่ หากมีส่วนของเนื้อหาที่เป็นการโฆษณามากกว่าสาระที่เป็นประโยชน์หรือใช้ spam keyword ก็จะทำให้อันดับ SEO ลดต่ำลงได้ ดังนั้น หากจ้างงานนักเขียนบทความออนไลน์ก็ควรตรวจสอบเรื่องการใส่คีย์เวิร์ดซ้ำมากเกินไปและการคัดลอกจากแหล่งอื่นหรือการ plagiarism ด้วย

2.เพนกวิน
เพนกวินเป็นระบบที่เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2012 มีหน้าที่ในการตรวจลิงก์เชื่อมโยงต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า backlink การเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่เพจที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันและมีความน่าเชื่อถือสูงจะช่วยให้อันดับ SEO ดียิ่งขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น ทำเว็บไซต์ขายอาหารเสริมกลุ่มวิตามินซี ก็ควรเชื่อมโยงลิงก์ส่วนสาระความรู้ของวิตามินซีว่าให้ประโยชน์อย่างไร ไปที่เว็บไซต์ต่างประเทศที่มีข้อมูลการวิจัยเป็นภาษาอังกฤษ เป็นต้น

3.ไพเรท
เป็นระบบที่ตรวจสอบการละเมิดลิขสิทธิ์ของเนื้อหาและรูปภาพในแต่ละโพสต์ หากระบบพบว่ามีการแอบอ้างใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ หรือถูกรายงานจากเจ้าของลิขสิทธิ์โดยตรง ก็จะทำให้ถูกลดอันดับ SEO ได้ วิธีลดความเสี่ยงละเมิดลิขสิทธิ์ คือ การผลิตเนื้อหาที่สดใหม่ด้วยทีมงานของเว็บไซต์เอง รวมถึงการจ้างนักกราฟิกทำภาพที่เหมาะสมด้วยโปรแกรมต่าง ๆ เช่น adobe photoshop, illustrator ซึ่งจะได้ภาพสวยงามไม่ซ้ำใคร หรือหาแหล่งดาวน์โหลดภาพฟรีในเว็บไซต์ต่าง ๆ แต่ก็ต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของภาพด้วยเสมอ

4.ระบบเช็คความเป็นมิตรกับโทรศัพท์มือถือ
เป็นระบบที่เริ่มใช้มาประมาณ 5 ปีมานี้ เป็นการตรวจสอบว่าเว็บไซต์นั้น ๆ เหมาะสมกับการแสดงผลผ่านหน้าจอทุกรูปแบบหรือไม่ เช่น โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต ดังนั้นเจ้าของเว็บไซต์จึงต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญทางด้านไอที ในการในการปรับแต่งในส่วนนี้ให้ดีที่สุดด้วย หากตอบโจทย์การใช้งานได้ดีในทุกอุปกรณ์ ก็จะทำให้ระดับ SEO สูงขึ้นด้วย

จะเห็นได้ว่า ระบบ algorithm SEO ของ Google ที่ออกแบบขึ้นมา มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมคุณภาพของเว็บไซต์ ทำให้ผู้ที่ตั้งใจทำธุรกิจออนไลน์พากันพัฒนาเว็บไซต์ให้สวยงามและใช้ง่าย มีสาระเนื้อหาที่สดใหม่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากขึ้น เราหวังว่าบทความนี้ช่วยให้ทุกท่านตระหนักถึงความสำคัญของการเรียนรู้ SEO ในเชิงลึกมากขึ้น เพื่อให้การทำธุรกิจออนไลน์ประสบความสำเร็จ

3 เหตุผลที่เจ้าของสินค้าควรทำ SEO

SEO คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ให้มีโครงสร้างและสร้างประสบการณ์ที่ดีต่อผู้ใช้งาน ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางที่ Google แนะนำ ตามปกติแล้วในหน้าผลการค้นหาแต่ละหน้า จะมี 10 อันดับ แต่ว่าอัลกอริทึมของ Google นั้นก็มีการอัปเดตและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาเพื่อให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น อันดับในเว็บไซต์จึงมีโอกาสถูกปรับเปลี่ยนได้เสมอ ซึ่งหากใครได้อยู่อันดับหนึ่งหรืออย่างน้อยติดอันดับในหน้าแรก ก็จะได้ประโยชน์ทางธุรกิจอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ เราจึงมาบอก 3 เหตุผลที่เจ้าของสินค้าควรทำ SEO ดังต่อไปนี้

เหตุผลที่ 1 ทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของเจ้าของสินค้า
การเขียนบทความเข้าไปบนเว็บไซต์ ช่วงแรก Google จะยังไม่ทราบว่าเป็นเว็บไซต์เกี่ยวกับสินค้าอะไรเป็นพิเศษ เจ้าของสินค้าจึงจำเป็นต้องทำ SEO และเน้นการทำบทความสินค้าที่น่าอ่าน ให้ประโยชน์กับผู้ใช้ ทั้งนี้ต้องมีการค้นคว้าคีย์เวิร์ดที่ผู้คนนิยมค้นหาด้วย เพื่อเพิ่มโอกาสการถูกค้นเจอได้ง่าย การใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้องและการทำเนื้อหาที่ดีมีคุณภาพ จะทำให้เกิดการแชร์เนื้อหาต่อไปยังแหล่งอื่น ๆ ในอินเทอร์เน็ต ก็จะยิ่งทำให้ Google เข้าใจเว็บไซต์ของเจ้าของสินค้ามากขึ้น และเมื่อ Google เริ่มให้ความน่าเชื่อถือแล้ว เว็บไซต์ก็จะมีโอกาสถูกจัดอันดับในผลการค้นหาสำหรับคีย์เวิร์ดที่เกี่ยวข้องมากขึ้นเรื่อย ๆ

เหตุผลที่ 2 SEO ช่วยทำให้เว็บไซต์ติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา
การที่เจ้าของสินค้าหลายคนสงสัยว่า ทำไมต้องทำ on page optimization คำตอบคือทำให้เกิดประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หรือที่เรียกว่า Good User Experience ยิ่งเว็บไซต์ขายสินค้าสร้างประสบการณ์ที่ดีมากเท่าไหร่ เนื้อหาของเว็บไซต์นั้นก็มีโอกาสติดอันดับหน้าแรกมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้เจ้าของสินค้าหลายคนยังสงสัยอีกว่า ทำไมต้องทำ Off page optimization ด้วย คำตอบคือทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Authority หรือความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์ ซึ่งมีผลต่อการจัดอันดับเช่นเดียวกัน หากเว็บไซต์สินค้าใดมีค่า Authority มาก โอกาสที่เว็บไซต์นั้นจะถูกนำแสดงในหน้าแรกหรืออันดับต้น ๆ ก็เพิ่มมากขึ้น

เหตุผลที่ 3 เนื้อหาที่อัปเดตทันสมัย จะเป็นที่ถูกใจของ Google
ในกระบวนการทำ SEO นั้น จะต้องมีการอัปเดตเนื้อหาใหม่ ๆ นำเสนออย่างต่อเนื่อง โดยเกี่ยวกับข้อมูลสินค้าและบริการ เช่น แนะนำการใช้งาน หรือเสนอข่าวสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เว็บไซต์ดูมีความเคลื่อนไหวสม่ำเสมอ และมีทราฟฟิกหรือผู้ชมในอัตราคงที่หรือเพิ่มขึ้น ซึ่ง Google จะให้ความสนใจเว็บไซต์ที่มีความเคลื่อนไหวอยู่สม่ำเสมอ ดังนั้น SEO จึงเป็นสิ่งที่เจ้าของสินค้าควรใส่ใจและวางแผนทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ Google มองว่าเป็นเว็บที่กำลังดำเนินงานอยู่ และมีโอกาสถูกจัดอันดับในผลการค้นหาที่ดีขึ้นด้วย

นอกเหนือจากการทำ SEO แล้ว เจ้าของสินค้าต้องไม่ลืมสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นก็คือคุณภาพของสินค้าหรือบริการ เพราะหากติดอันดับหน้าแรกได้แล้ว แต่ถ้าสินค้าไม่สนองความต้องการ หรือไม่ถูกใจผู้บริโภค การติดอันดับหน้าแรกก็จะไม่ได้ช่วยให้ธุรกิจมีกำไรนัก ในทางตรงกันข้าม หากสินค้าคุณภาพดีถูกใจผู้ใช้ การติดอันดับหน้าแรกก็จะกลายเป็นแรงบวก ส่งผลให้สร้างยอดขายได้มากขึ้น

สิ่งที่ต้องระวังในการทำ SEO

การทำธุรกิจออนไลน์จำเป็นต้องมีเว็บไซต์หรือเพจในเฟซบุ๊ก เพื่อใช้ในการเผยแพร่บทความประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสินค้าและบริการ เพื่อกระตุ้นยอดขายและทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจในแบรนด์ โดยในปัจจุบันการทำระบบ SEO หรือ search engine optimization มีความสำคัญมาก เพราะช่วยเพิ่มโอกาสให้กลุ่มเป้าหมายเข้ามาในเว็บไซต์หรือเพจของคุณได้มากขึ้น

ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องระวังในการทำเว็บไซต์ SEO มีประเด็นที่สำคัญ ดังนี้

  1. การคัดลอกเนื้อหา

เนื้อหาบทความในเว็บไซต์หรือเพจ SEO ควรเป็นข้อมูลใหม่ ไม่ไปคัดลอกจากเว็บไซต์ใด ๆ มา เพื่อให้ไม่มีปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งอาจถูกเว็บไซต์ต้นฉบับแจ้งรายงานต่อกูเกิ้ล หรือถูกระบบ algorithm ตรวจจับได้ การเขียนเรียบเรียงใหม่หรือการแปลจากภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาจีน อังกฤษ เกาหลี โดยเฉพาะข่าวดาราต่างประเทศ ข่าวเศรษฐกิจการเมือง ฯลฯ ควรทำเป็นสำนวนตัวเองด้วยเช่นกัน ไม่ควรใช้ระบบ Google Translate ซึ่งเป็นระบบ AI ที่ใคร ๆ ก็ทำได้ มิฉะนั้นจะถูกลดคะแนนอันดับการค้นหาลงไปด้านล่างได้

  1. ความยาวของเนื้อหา

การทำ SEO ให้กับบทความที่อยู่บนเว็บไซต์ ควรมีความยาวมากกว่า 1,000 คำ และเน้นเนื้อหาสาระที่เข้มข้น ตอบโจทย์กลุ่มคนเป้าหมายที่ต้องการหาข้อมูลในเชิงลึกแต่ถ้าทำ SEO ให้กับเพจที่อยู่บน Facebook ควรทำความยาวที่ 100-300 คำ เพราะกลุ่มคนที่ใช้งานเฟซบุ๊กมีความสนใจแตกต่างไปจากเว็บไซต์ ส่วนใหญ่แล้วคนที่เล่น Facebook จะนิยมชมคลิปวีดีโอและอ่านข้อความแบบสั้น ๆ จึงไม่ควรทำเนื้อหายาวเท่ากันหรือใช้ภาพเดียวกันโพสต์ในหลายแพลตฟอร์ม ถ้าเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคเช่นนี้ ก็จะวางแผนทำเนื้อหา SEO ที่เหมาะสมได้

  1. ลิขสิทธิ์รูปภาพ

รูปภาพที่ใช้ประกอบในเพจหรือเว็บไซต์ จำเป็นต้องปลอดปัญหาลิขสิทธิ์ กล่าวคือ ต้องไปหาจากเว็บไซต์ที่เป็นแหล่งรวบรวมภาพฟรี เพื่อนำมาใช้ได้โดยไม่ถูกฟ้องร้อง หรือสร้างสรรค์ภาพใหม่ขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ใช้กล้องโทรศัพท์มือถือถ่ายรูป และตัดแต่งด้วย Application ต่าง ๆ มิฉะนั้นจะถูกรายงานจากเจ้าของผลงานและเสียค่าปรับการละเมิดลิขสิทธิ์ได้

  1. การตั้งชื่อเพจ

ไม่ควรตั้งชื่อเพจหรือเว็บไซต์แบบขาดหลักการ หากต้องการถูกสืบค้นง่าย ควรใช้ชื่อที่มี keyword ที่คนนิยมสืบค้นและตรงกับสินค้าที่จำหน่ายด้วย เช่น ทำเว็บไซต์ขายดอกไม้ ก็ควรมีคำว่าดอกไม้ หรือ flower หรือ รับทำ SEO ก็ควรมีคำว่า SEO เป็นส่วนประกอบในชื่อเว็บไซต์ด้วย ซึ่งจะทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจดจำง่าย มีโอกาสได้ลูกค้าใหม่และลูกค้าประจำมากขึ้น

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO มีข้อที่ควรระวังหลายอย่าง หากคุณเข้าใจหลักการและนำมาปรับใช้ในส่วนต่าง ๆ นอกจากจะไม่พลาดทำผิดกฎของ Google หรือเฟซบุ๊ก จนถูกระบบ algorithm ตรวจจับได้แล้ว ยังช่วยให้การทำธุรกิจออนไลน์เติบโตได้ดียิ่งขึ้น ทั้งด้านยอดขายและจำนวนลูกค้าในระยะยาวด้วย

Organic SERPs คืออะไร ทำไมต้องรู้จัก

การทำเว็บไซต์ SEO เป็นวิธีที่ผู้ชำนาญทางการตลาดออนไลน์ แนะนำให้ให้ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ทุกประเภท ศึกษาและพัฒนาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายเมื่อมีการค้นหาด้วยคำสำคัญใน Google ทั้งนี้ คำศัพท์ที่สำคัญ คือ Organic SERPs เป็นสิ่งที่ทุกคนควรเข้าใจ เพราะจะเป็นประโยชน์ในการสังเกตผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงด้าน SEO ของเว็บไซต์ตัวเอง และช่วยให้เห็นว่าเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ใช้ keyword เดียวกันมีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง

Organic SERPs ย่อมาจาก organic search engine result pages หมายถึงหน้าจอแสดงผลของ Google ที่จะปรากฏขึ้น เมื่อมีการใส่ keyword ลงไปในช่องค้นหา

ตัวอย่างเช่น คุณใช้ keyword คำว่า ดอกไม้รับปริญญา เมื่อกดค้นหา ก็จะปรากฏเว็บไซต์ต่าง ๆ ลำดับตามคะแนน SEO จากสูงไปต่ำ 1-10 เว็บไซต์ในแต่ละหน้าเพจ

มีการศึกษาวิจัยพบว่าเว็บไซต์ SEO ที่ปรากฏผลอยู่ในส่วน Organic SERPs อันดับที่ 1-5 จะมียอดขายสินค้าและบริการมากกว่าเว็บไซต์ที่อยู่ในลำดับล่าง ๆ ลงไป และนอกจากคำว่า Organic SERPs แล้ว ยังมีคำว่า Paid SERPs ซึ่งหมายถึง เว็บไซต์ที่มีการจ่ายเงินเป็นค่าสปอนเซอร์ เพื่อซื้อพื้นที่โฆษณา จะอยู่โซนด้านบนหรือด้านข้างของหน้าจอ โดยต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายให้ Google แตกต่างจาก Organic SERPs ที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย เพียงพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นตามกฎของ Google และอัปเดตความสดใหม่ของบทความเสมอ ๆ

หากคุณต้องการทำให้อันดับเว็บไซต์ SEO ใน Organic SERPs ดีขึ้น ต้องห้ามมองข้ามสิ่งต่อไปนี้

1. โครงสร้างของเว็บไซต์ ต้องมีการจัดหมวดหมู่ของสินค้าและบริการที่ชัดเจน

2. ระบบใช้งานง่ายกับโทรศัพท์มือถือและอาจมีแชทบอทที่ช่วยในการตอบคำถาม

3. หัวข้อและ keyword ที่ดี หัวข้อต้องน่าสนใจ และใช้คำสำคัญที่มีความยาวและเฉพาะเจาะจง สัมพันธ์กับพฤติกรรมการสืบค้นของผู้บริโภคยุคใหม่

4. แชร์ Link เชื่อมโยงจากแพลตฟอร์มของสื่อโซเชียลอื่น ๆ เช่น Instagram Facebook

5. มีการทําไฮเปอร์ลิงก์เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่เพจหน้าอื่นในเว็บไซต์ตัวเอง สร้างความสะดวกให้แก่ผู้อ่าน

หากคุณใส่ใจองค์ประกอบต่าง ๆ ครบทุกด้านที่กล่าวมา ก็ทำให้อันดับ SEO สูงขึ้น ซึ่งกรณีของการพิมพ์หาด้วยคำค้นต่าง ๆ เช่น ดอกไม้รับปริญญา ถ้าเจอเว็บไซต์ใดในอันดับต้น ๆ ของ Organic SERPs แปลว่ามีคุณภาพตามหลัก SEO ครบถ้วน

และหากเว็บไซต์คุณอยู่ในอันดับต้น ๆ ของส่วน Organic SERPs ด้วย ก็แสดงว่าคุณได้พัฒนาเว็บไซต์มาถูกทางแล้ว และควรทำอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อให้ได้อันดับที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ

Organic SERPs มีประโยชน์ทั้งการยืนยันคุณภาพของเว็บไซต์ตนเอง และช่วยให้สามารถที่จะศึกษาเปรียบเทียบกับเว็บไซต์อื่นที่เป็นคู่แข่งของธุรกิจที่ใช้คำค้นหาเดียวกันได้ด้วย

เราหวังว่าบทความนี้ จะช่วยทุกท่านสนใจการใช้ประโยชน์จาก Organic SERPs มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประสบผลสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์ต่อไป

หัวข้อและ keyword ที่ดี หัวข้อต้องน่าสนใจ