ลิงก์แบบ Do Follow คืออะไร มีผลกับ SEO อย่างไร

เมื่อเจ้าของธุรกิจสร้างเว็บไซต์ใหม่ ต้องการโปรโมทให้เว็บติดอันดับหน้าแรกของเครื่องมือค้นหามีหลายวิธี แต่ละวิธีให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นคือการสร้างลิงก์แบบ Do Follow เป็นวิธีการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่นเพื่อเพิ่มคะแนน SEO โดยไม่สร้างจุดด่างพร้อยเพราะไม่ผิดกติกาของ Google การสร้างลิงก์แบ่งออกเป็น Do Follow และ No Follow มีรายละเอียดแตกต่างกันดังนี้

Do Follow สร้างลิงก์เพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บ

การสร้างลิงค์ Do Follow เป็นการเชื่อมโยงจากเว็บไซต์ไปยังเว็บอ้างอิงอื่น ๆ พร้อมกับส่งต่อลิงก์กลับมายังเว็บของตนเองเพื่อเปิดการค้นหาติดตามทำให้ผู้ชมคลิกกลับมายังเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและเครื่องมือค้นหาสามารถติดตามได้เช่นเดียวกัน เรียกว่าทั้งเพิ่มจำนวนลิงก์ (Back Link) ให้เว็บของตัวเองและช่วยเพิ่มค่าอันดับ (PageRank) ด้วย บอทของเครื่องมือค้นหาจะนับจำนวนคนเข้า ด้วยเหตุนี้ยิ่งมีลิงก์มากเท่าไรก็จะได้รับคะแนน SEO มากขึ้นซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเว็บไซต์ให้ได้รับการจัดลำดับในอันดับที่ดีขึ้น วิธีดีที่สุดคือการเขียนบทความที่มีประโยชน์ น่าอ่าน โดยใช้คำหลักเป็นตัวยึดข้อความเชื่อมโยงกับคำค้นหาของผู้ใช้เสิร์จเอนจิ้นนั่นเอง การตั้งค่า Do Follow นับเป็นสิ่งสำคัญเพราะทำให้ได้ลิงก์กลับมาจากทุกที่ รวมถึงลิงก์ติดตามจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้อีกด้วย

No Follow

การตั้งค่า No Follow หมายถึงการสร้างลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บอื่นโดยไม่เปิดให้เครื่องมือค้นหาติดตามลิงก์ จึงไม่มีการนับคะแนนแบบการทำ SEO แต่ยังเชื่อมโยงให้ผู้ชมคลิกย้อนกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณได้ มีจำนวนผู้เข้าชมมากขึ้น แตกต่างตรงที่ไม่มี BackLink กลับมาที่เว็บของตัวเอง และไม่ช่วยเพิ่มค่าอันดับของหน้าเว็บไซต์ให้สูงขึ้น ถือเป็นวิธีการสร้างลิงก์แบบธรรมชาติที่ปลอดภัย ไม่เสี่ยงกับลิงก์คุณภาพต่ำที่เป็นอันตรายต่อเว็บไซต์ ถึงจะไม่เพิ่มอันดับเว็บแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลิงก์นั้นไม่มีประโยชน์ เพราะการที่เว็บไซต์มีการเข้าชมจำนวนมากให้ประโยชน์มากมาย ช่วยให้เว็บเป็นที่รู้จักมากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการขายมากกว่าคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน

การตรวจสอบลิงก์ว่าเป็น Do Follow หรือ No Follow มีข้อแตกต่างดังนี้

ลิงก์ Do Follow เช่น SE Ranking

ลิงก์ No Follow เช่น SE RankingDo Follow สร้างลิงก์เพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บ

เว็บมาสเตอร์ที่เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรใช้ผสมผสานทั้ง Do Follow และ No Follow ต้องสร้างความสมดุลให้ดี เพราะการสร้างลิงก์ขาเข้าเป็น Do Follow ทั้งหมดจะน่าสงสัยและไม่เป็นธรรมชาติ อย่ามองว่าลิงก์ประเภท No Follow ไม่มีค่าสำหรับ SEO แต่ควรมองประโยชน์ในด้านทำให้ธุรกิจและแบรนด์เป็นที่รู้จัก ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น การสร้างลิงก์แบบ No Follow เหมาะใช้ในกรณีที่ไม่ต้องการติดตามเนื้อหาในเว็บที่ไม่น่าเชื่อถือ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในระยะยาว การสร้างลิงก์ Do Follow และ No Follow ให้ผลลัพธ์ที่ดีแตกต่างกันไปและถูกกว่าการทำโฆษณาแบบอื่น ๆ มาก การรอผลลัพธ์นั้นต้องใช้เวลาแต่จะช่วยให้เข้าไปอยู่ในหน้าแรก ๆ ในการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google ได้อย่างแน่นอน

จะใช้งบประมาณที่มีอยู่ทำ SEO หรือ SEM ดีกว่ากัน

การตลาดออนไลน์ในปัจจุบัน มีการแข่งขันกันสูงเพื่อให้ได้อันดับต้น ๆ Top 5 หรือ Top10 ในการนำเสนอบนหน้าต่างการสืบค้นของ Google, Bing และ Yahoo ทำให้ได้ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมในเว็บไซต์อย่างต่อเนื่องและทำให้มียอดขายที่สูงขึ้น ทั้งเทคนิค SEO และ SEM ต่างเป็นวิธีการตลาดออนไลน์ยุคใหม่ที่มีการนิยมใช้อย่างมาก แต่หากมีงบประมาณที่จำกัดก็ทำให้หลายคนเกิดความลังเลใจว่าควรจะเลือกทำสิ่งใดดี

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ SEO และ SEM เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นมาฝากกัน ดังนี้

1. SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการทำการตลาดออนไลน์แบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้ Search Engine โดยเน้นที่การสร้างเว็บไซต์ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่ Google, Bing และ Yahoo วางไว้ ทั้งด้านเนื้อหา รูปภาพประกอบ และสื่อมัลติมีเดียที่ช่วยให้ลูกค้าหรือผู้บริโภคได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเข้ามาชมในเว็บไซต์ ดังนั้น ต้องคำนึงถึงความทันสมัย ไม่มีการคัดลอกจากที่อื่น มีแหล่งอ้างอิงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น

นอกจากนี้ การทำเว็บไซต์ SEO ให้ใช้งานได้ง่าย ทั้งบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ส่วนการทำเชื่อมโยง Link ไปสู่เว็บไซต์อื่น ๆ เช่น ห้องแชทที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เพื่อที่คุณจะได้แนะนำเว็บไซต์ของคุณ ก็เป็นเทคนิคที่นักธุรกิจเว็บไซต์ออนไลน์ยุคใหม่นิยมทำกัน หากคุณมีทักษะทำ SEO เอง ก็ไม่ต้องจ้างทีมงาน หรืออาจเลือกจ้างมืออาชีพในงานที่คุณไม่ถนัด เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายแต่ได้ผลงานที่ดีน่าพอใจได้

2. SEM หรือ Search Engine Marketing จะเป็นการประมูลพื้นที่เพื่อโฆษณาเว็บไซต์ของคุณในอันดับ 1-5 ของหน้าต่างการสืบค้น ทำให้มีโอกาสได้รับการคลิกเข้ามาชมและเลือกซื้อสินค้าอย่างเห็นผลในทันที ซึ่งจะต้องมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นหากคุณใช้ keyword ตรงกับคู่แข่งทางการค้าและเมื่อมีการคลิกเข้ามาในเว็บไซต์ของคุณผ่านลิงก์โฆษณา คุณก็จะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะซื้อสินค้าหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเรียกว่าค่าใช้จ่ายแบบ Pay Per Clickประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับ SEO และ SEM

การทำ SEM จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำนวนมาก หรือจะใช้งบประมาณเป็นครั้ง ๆ ตามแผน เพื่อที่จะสนับสนุนโปรโมชั่นหรือกระตุ้นยอดขายเป็นช่วง ๆ ก็จะเห็นผลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า หากคุณมีงบประมาณที่จำกัดการเลือกแนวทางประชาสัมพันธ์เว็บไซต์แบบ SEO หรือ SEM ต้องขึ้นอยู่กับชนิดของสินค้า เป้าหมายทางธุรกิจ และจังหวะของแผนธุรกิจ เช่น ช่วงต้น กลาง และปลายปี ที่จะมีโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายต่างกัน ซึ่งหากทำควบคู่กันได้ก็จะเห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้น คุณอาจปรึกษาผู้ที่เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์สูงในการทำ SEO และ SEM ก็จะได้คำตอบหรือแนวคิดที่ดียิ่งขึ้น

โครงสร้างเว็บไซต์แบบไหนที่เป็นมิตรกับ SEO

ธุรกิจยุคนี้จำเป็นต้องมีเว็บไซต์ แม้ว่าโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ Pinterest ที่เข้าถึงลูกค้าง่าย และสะดวกกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลคือโครงสร้างของเว็บไซต์นำเสนอข้อมูลอย่างละเอียดและยังสร้างความน่าเชื่อถือมากขึ้น การที่จะทำให้ธุรกิจมีศักยภาพการแข่งขันสูงจำเป็นต้องมีช่องทางที่ไว้วางใจได้เพื่อให้โดดเด่นกว่าคู่แข่ง ทั้งนี้ โครงสร้างเว็บไซต์ถือเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ SEO จำเป็นต้องจัดระเบียบหน้าเว็บให้ผู้ใช้งานค้นหาสิ่งที่ต้องการได้ง่าย ทำให้ธุรกิจดีขึ้นและยังส่งผลให้เว็บไซต์ติดในอันดับต้น ๆ ของ Google ด้วย

มาดูกันว่าเว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คืออะไร

เว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คือการจัดลำดับหน้าเว็บเรียงลำดับความสำคัญ หน้าเว็บที่อัดแน่นข้อมูลสำคัญที่สุดและบทความดีที่สุดในเว็บไซต์ทำให้ Google เห็นว่าหน้านั้นสำคัญและมีผลให้เว็บติดอันดับบนเครื่องมือการค้นหา เว็บไซต์ที่ได้รับการวางแผนมาเป็นอย่างดีจะมีโครงสร้างที่ชัดเจนช่วยให้จัดทำดัชนีได้เร็วขึ้น โดยเฉพาะเว็บไซต์ขนาดใหญ่ที่มีหน้าเพจหลายระดับมาก เช่น เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ และแคตตาล็อกธุรกิจ ถ้าจัดลำดับอย่างเป็นระเบียบและมีการเชื่อมโยงกันจะช่วยหลีกเลี่ยงเนื้อหาและหน้าเพจที่ซ้ำซ้อน ประโยชน์ที่แท้จริงของเว็บไซต์ที่มีโครงสร้างที่ดีคือสร้างความประทับใจให้ลูกค้าเป้าหมาย

เว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คือการวางแผนผังเว็บไซต์แสดงรายการหน้าทั้งหมดเพื่อช่วยจัดระเบียบเนื้อหาในเว็บไซต์ตามลำดับหมวดหมู่และลำดับความสำคัญ สามารถสร้างลิงก์เชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องไปถึงโพสต์และหน้าอื่น ๆ ภายในเว็บไซต์ นอกจากนั้นยังสร้างการเชื่อมโยงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องในเว็บภายนอกอื่น ๆ ด้วย การวางแผนผังที่ดีจะแสดงลำดับเมนูให้ผู้ใช้ทราบว่าตอนนี้กำลังอยู่ตรงส่วนใดของเว็บไซต์ จะหาทางค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้อย่างไร รวมถึงวิธีกลับไปที่หน้าแรกด้วย

เว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คือการคัดเลือกคีย์เวิร์ดหลักและรองมาอย่างดี กระจายคำหลักอย่างเหมาะสมทั่วทั้งหน้าเว็บไซต์เพื่อให้ SEO ทำงานได้ดีขึ้นและผู้ใช้สามารถค้นหาหน้าที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย รวมถึงใส่กลุ่มคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ควรใช้คำที่หลากหลายกระจายกันบนหน้าเว็บที่เกี่ยวข้องเพื่อสร้างลิงก์ภายในเว็บให้มีคุณภาพและความน่าเชื่อถือมากขึ้นมาดูกันว่าเว็บไซต์ที่มีลักษณะรองรับเรื่อง SEO คืออะไร

สังเกตได้ว่าเว็บไซต์ที่ค้นหาข้อมูลง่ายจะมีวิธีการจัดหน้าและลำดับชั้นเป็นระเบียบเรียบร้อย เริ่มจากหน้าแรกเป็นหน้าที่จะเชื่อมโยงไปถึงข้อมูลหลักของเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับธุรกิจอย่างชัดเจน ถัดจากหน้าแรกคือส่วนหลักเป็นหน้าที่จะเชื่อมโยงไปถึงสินค้าหรือบริการ ซึ่งแบ่งเป็นหมวดหมู่เพื่อให้ผู้ใช้ค้นหาได้ง่าย ต่อไปคือส่วนย่อยเป็นหน้าที่อธิบายคุณสมบัติของสินค้าและบริการที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น ในส่วนย่อยจะซับซ้อนและมีหลายระดับ จึงต้องเรียงไปตามลำดับความสำคัญ เพราะข้อมูลที่เพิ่มเติมเข้ามาเรื่อย ๆ จะทำให้เว็บขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง จำเป็นต้องปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์อย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นเคล็ดลับในการออกแบบโครงสร้างเว็บไซต์ที่เป็นมิตรกับกลยุทธ์ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ทำอันดับได้ดีขึ้น

การเลือกบริษัททำเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพ

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการตลาดออนไลน์ที่ช่วยให้เว็บไซต์อันดับดีและมีลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันมีความนิยมในการจ้างบริษัทเอกชนทำ SEO เป็นจำนวนมาก บางบริษัทก็ทีมงานมีประสบการณ์สูง แต่บางบริษัทก็โฆษณาเกินความจริง จนทำให้เจ้าของธุรกิจเว็บไซต์ต้องเสียเงินค่าใช้จ่ายในการทำ SEO โดยที่ได้งานคุณภาพต่ำ

ในบทความนี้ จึงได้รวบรวมวิธีการเลือกตัวเลือกบริษัททำเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพมาฝากกัน ดังนี้

1. การการันตีผลในการทำ SEO เนื่องจากระบบ Algorithm ของ Yahoo และ Google มีความซับซ้อน ไม่สามารถมีบริษัททำ SEO ที่ยืนยันได้ 100% ว่าจะทำให้เว็บไซต์มีอันดับที่ 1 ในหน้าต่างการสืบค้นได้ ถ้าบริษัทที่จะจ้างการันตีว่าจะทำให้เป็นอันดับที่ 1 ก็มีแนวโน้มที่จะถูกหลอกลวงหรือได้รับงานที่ไม่ตรงกับความคาดหมาย

2. การทำเว็บไซต์ SEO มีองค์ประกอบอยู่หลายส่วน ผู้ที่มีประสบการณ์ในการทำเว็บไซต์จะสามารถบอกได้ว่าควรทำอะไรก่อนหรือหลัง มีลำดับขั้นตอนชัดเจนที่สามารถบอกผู้ที่จ้างงานได้ ถ้าบริษัทรับจ้างทำ SEO เริ่มต้นจากการทำ Keyword ก็มีแนวโน้มที่จะไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะควรทำส่วนของโครงสร้างเว็บไซต์ (on site Technical audit) ที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด ก่อนจะไปทำส่วนอื่น ๆ เพื่อเป็นการยืนยันว่าระบบการเชื่อมโยงข้อมูลใช้งานได้จริงไม่มีปัญหาที่จะทำให้ธุรกิจออนไลน์หยุดชะงัก

3. การทำ SEO มีสัญญาหรือแพ็คเกจระยะเวลากี่เดือนถึงกี่ปี ถ้ายกเลิกก่อนสัญญา อาจจะต้องมีการเสียค่าปรับระบบได้ เจ้าของเว็บไซต์ที่คิดจะจ้างทำ SEO จึงต้องสอบถามก่อนว่า ถ้างานไม่สำเร็จหรือมีวิธีตรวจสอบคุณภาพงานแบบใดบ้าง เช่น รายงานผลการทำ SEO วิธีการเช็คผลผู้เข้ามาในเว็บไซต์ ฯลฯ หากคุยกันให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น ก็จะป้องกันปัญหาในระยะยาวได้

4. ระบบ Algorithm ของ Search Engine จะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ในปัจจุบัน มีระบบ PANDA เพื่อหาความซ้ำของบทความ ระบบ PENGUIN เพื่อเช็คคุณภาพของลิ้งค์ ระบบ HUMMINGBIRD เช็คการใช้คีย์เวิร์ดที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ

ดังนั้นการทำ SEO เพื่อให้ได้อันดับที่ดีจาก Search Engine จึงต้องมีการพัฒนาตามไปด้วย บริษัทที่ทำ SEO จึงต้องสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพงาน ให้ไม่มีปัญหาเมื่อนำบทความและสื่อมัลติมีเดียต่าง ๆ ขึ้นบนเว็บไซต์ ทั้งนี้เจ้าของเว็บไซต์ควรทำการศึกษาข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับระบบ AI ด้วย เพื่อทำให้สามารถคุยกันได้เข้าใจยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า สิ่งที่กล่าวมาทั้ง 4 ข้อนี้ สำคัญต่อการเลือกบริษัททำเว็บไซต์ SEO เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณา และช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของลูกค้าในระยะยาวได้ด้วย

การเลือกบริษัททำเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพ

ค้าขายออนไลน์ต้องรู้ SEO คืออะไร

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยให้ผู้ค้าขายออนไลน์สามารถมียอดขายเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างรวดเร็วและเป็นที่รู้จักกันในกลุ่มลูกค้าจำนวนมากขึ้น

SEO ประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็น On- Page SEO และ Off-Page SEO ซึ่งต้องทำควบคู่กันจึงจะทำให้การจัดอันดับของเว็บไซต์ใน Google และ Yahoo ที่วิเคราะห์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ได้ผลดีขึ้น

1. On- Page SEO คือ การใส่เนื้อหาที่มีคุณภาพลงในเว็บไซต์ เช่น บทความที่มีสาระประโยชน์มีความทันสมัยและมีข้อมูลที่ถูกต้อง

ตัวอย่างเช่น บริษัทที่ให้บริการเกี่ยวกับเกมและคีย์บอร์ด อุปกรณ์เกมต่าง ๆ ควรให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ลูกค้าในเรื่องเกี่ยวกับเกม คีย์บอร์ด หูฟัง ตามความเป็นจริง ไม่เน้นที่โปรโมชันหรือการขายสินค้าที่ให้กำไรสูงเพียงอย่างเดียว หากมีบทความอัปเดตบ่อย ๆ จะมีคนเข้ามาอ่านเป็นประจำ ทำให้ Traffic เว็บไซต์เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ได้ผลการจัดอันดับจากการสืบค้นที่ดีขึ้นตามไปด้วย

นอกจากในส่วนเนื้อหาแล้ว ส่วนของรูปและโครงสร้างของเว็บไซต์ก็ต้องมีการปรับปรุงให้ใช้งานง่าย มีตัวอักษรที่อ่านง่าย จัดหมวดหมู่ให้สวยงาม เป็นระเบียบ

ทั้งต้องใช้งานง่ายสำหรับระบบคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะและโทรศัพท์มือถือ เพราะผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน นิยมทำผ่านโทรศัพท์มือถือที่พกติดตัวกันเกือบตลอดเวลา ถ้าปรับปรุงเว็บไซต์ SEO ที่ใช้ได้แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็จะทำให้ไม่ได้รับประสิทธิผลเท่าที่ควร

2. ส่วนของ Off-Page SEO คือการเชื่อมโยงลิงก์จากเว็บไซต์ภายนอกเข้ามาสู่เว็บไซต์ของร้านค้า หรือที่เรียกกันว่าการทำ Back Link ที่นิยมก็คือการไปโพสต์ตอบคำถามในเว็บไซต์อื่น ๆ พร้อมกับแนบ Link เพื่อให้ผู้สนใจหรือกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับการใช้สินค้าต่าง ๆ ได้อ่านและเข้ามาถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บไซต์ร้านค้า

ตัวอย่างเช่น มีผู้ต้องการหาซื้อคีย์บอร์ดเพื่อการเล่นเกมแต่ไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไร ถ้ามีผู้ไปตอบเอาไว้ในสังคมออนไลน์ โดยมีหลักการเหตุผลให้คำแนะนำที่น่าสนใจ พร้อมแนะนำรุ่นและแนบลิงก์เว็บไซต์เอาไว้ด้วย ก็จะทำให้มีโอกาสที่จะได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นจากการตอบคำถามเหล่านี้ ทำให้ส่งผลดีต่อยอดขายที่จะตามมาด้วย

ผู้ทำกิจการค้าขายออนไลน์จึงควรให้ความสำคัญกับการทำ SEO ที่มีคุณภาพ เพื่อให้เพิ่มความนิยมจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้มีโอกาสในการแข่งขันกับคู่แข่งธุรกิจรายอื่นได้มากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามการทำ SEO เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาเพื่อสร้างข้อมูลที่เพียงพอสำหรับให้ระบบของ Search Engine วิเคราะห์ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเจ้าของกิจการเอง จากการเรียนรู้จากหนังสือหรือคอร์สทำ SEO และการจ้างบริษัทเอกชน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเป็นแพ็คเกจรายเดือนหรือรายปี

ค้าขายออนไลน์ต้องรู้ SEO คือ

ทำไม SEO จึงจำเป็นสำหรับร้านค้าออนไลน์

ปัจจุบันเทคโนโลยีช่วยให้การติดต่อสื่อสารและการซื้อขายออนไลน์ทำได้ง่ายยิ่งขึ้น การประชาสัมพันธ์ร้านค้าผ่านทางโลกออนไลน์จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญ วิธีหนึ่งที่เห็นผลดี คือการทำ SEO จะมีความสำคัญและประโยชน์อย่างไร มาติดตามกันเลย

ทำไม SEO จึงจำเป็นสำหรับร้านค้า

ความหมายและส่วนประกอบของ SEO

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการทำให้หน้าร้านออนไลน์ถูกประชาสัมพันธ์ในอันดับที่ดีของ Search Engine เช่น Google , Yahoo ด้วยการทำ 2 ส่วนต่อไปนี้ ให้มีประสิทธิภาพ

1. ส่วน Off-Page SEO เป็นการสร้างลิงค์เชื่อมโยงเว็บไซต์ภายนอกมาสู่เว็บไซต์ของคุณ เช่น การตอบคำถามในเว็บไซต์พันทิปที่มีคนไปตั้งกระทู้ถาม พร้อมกับแปะลิงค์ให้เข้ามาที่เว็บไซต์ออนไลน์ของคุณ

2. ส่วน On Page SEO หมายถึง การใส่บทความที่มีคุณภาพ รวมถึงรูปภาพประกอบต่าง ๆ ที่น่าสนใจในเว็บไซต์ของคุณ ทั้งนี้จะต้องเลือก keyword ที่กลุ่มเป้าหมายพิมพ์หาข้อมูลใน Google search ด้วย

การทำใน 2 ส่วนที่กล่าวมาเป็นประจำ จะทำให้มีข้อมูลของเว็บไซต์คุณมากพอให้ระบบ algorithm ของ search engine วิเคราะห์และประมวลผลเพื่อแสดงแก่ผู้ใช้นั่นเอง

ประโยชน์ของ SEO

การทำ SEO อย่างต่อเนื่องจะทำให้ร้านค้าออนไลน์ได้ประโยชน์มากมาย ดังนี้

1. อันดับจะดียิ่งขึ้นยิ่งในการสืบค้น โดยหากเป็น Top Five Top Ten ก็จะถูกแสดงผลในหน้าแรกของการสืบค้นแน่นอน

2. เพิ่ม Traffic คนเข้าเว็บไซต์ ทำให้คุณมีโอกาสขายสินค้าและบริการได้มากขึ้น เปรียบเช่นเดียวกับการมีคนเดินเข้ามาชมสินค้าในร้าน ก็ย่อมมีโอกาสที่จะได้สินค้าติดไม้ติดมือกลับบ้านไปไม่มากก็น้อย

3. ไม่ต้องเสียค่าโฆษณาเว็บไซต์อย่างการทำ AdWords หรือ Search Engine Marketing (SEM) ที่ต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้พื้นที่โฆษณาด้านบนของ Google Yahoo

4. ทำให้เกิดการพัฒนาเว็บไซต์ที่สวยงาม เป็นระเบียบ น่าใช้ยิ่งขึ้น

5. สำหรับร้านค้าหน้าใหม่หรือแบรนด์สินค้าใหม่แต่ถ้าทำ SEO ให้มีคุณภาพก็ย่อมเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ไม่ยาก

6. ทำให้เว็บไซต์ขายสินค้าของคุณมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อสืบค้นด้วย Yahoo และ Google แล้วแสดงผลเป็นอันดับต้น จะทำให้ลูกค้ามั่นใจในการใช้บริการมากกว่าเว็บไซต์ที่ปรากฏอยู่ในหน้าท้าย

7. โอกาสได้ลูกค้าจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น

8. มีโอกาสขายสินค้าได้ตลอดเวลา เพราะเว็บไซต์ SEO ที่มีคุณภาพจะถูกนำเสนอบนหน้าต่าง search engine อันดับต้น ๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO ให้ประโยชน์แก่ร้านค้าออนไลน์ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพิ่มจำนวนผู้เข้าชม ทำให้คุณมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย และที่สำคัญคือทำให้ยอดขายบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้สามารถศึกษาการทำ SEO ได้ด้วยตัวเองและปรึกษาทีมเอกชนที่รับพัฒนาเว็บไซต์ที่คิดค่าใช้จ่ายเหมาะสม

ทำไม SEO จึงจำเป็นสำหรับร้านค้าออนไลน์

จริงหรือไม่ กับคำกล่าวที่ว่า SEO คือ การโฆษณาออนไลน์ฟรี

การทำเว็บไซต์ขายสินค้าและบริการออนไลน์ในยุคปัจจุบัน มีความจำเป็นต้องหาช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มคนเป้าหมายให้ได้มากที่สุด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการทำ SEO ให้เว็บไซต์สามารถถูกตรวจสอบได้ง่ายจากระบบ algorithm ของ search engine และหากถูกจัดอันดับไว้บนขั้น top 5 ของหน้าต่างเมื่อใด การค้นหาเพื่อเข้าถึงก็ยิ่งง่ายขึ้น

มีการกล่าวว่า SEO เป็นเสมือนหนึ่งวิธีการโฆษณาแบบฟรีของแบรนด์ต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ซึ่งในช่วงสองสามปีหลังนี้เป็นที่นิยมมาก ซึ่งจะมีความจริงอย่างไร เรามาดูกัน

ทำเว็บไซต์ SEO อย่างไร เรียกลูกค้า

การทำ SEO ให้เว็บไซต์ คืออะไร

การปรับโครงสร้างของเว็บไซต์และเนื้อหาให้มีคีย์เวิร์ด SEO ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายในการสืบค้นข้อมูล เช่น ลูกค้าที่ต้องการหาแหล่งที่พัก สำหรับการท่องเที่ยวในไทยใน ปี 2019 หากคุณเป็นเจ้าของรีสอร์ต ก็ต้องทำเว็บไซต์ออนไลน์ที่มีบทความ SEO ที่มีคุณภาพ ทำให้ลูกค้าเห็นข้อดีของการพักที่รีสอร์ทคุณ จะได้รับความสะดวกสบายอย่างไร หรือมีความใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญใดบ้าง ก็ต้องกล่าวถึงในบทความด้วย จึงจะดึงดูดใจลูกค้า และคีย์เวิร์ด SEO ของคุณ ก็คือ คำว่ารีสอร์ทจังหวัดxxxนั่นเอง

ข้อเท็จจริงในการทำ SEO มีอะไรบ้าง

การทำ SEO จำเป็นต้องทำต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยเฉพาะธุรกิจหมวดที่มีการแข่งขันกันสูง เช่น โรงแรม อาหารเสริม ร้านจัดช่อดอกไม้ ฯลฯ ซึ่งแน่นอนว่า หากเว็บไซต์ใดไม่มีการอัพเดตข้อมูลใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ และขาดคีย์เวิร์ดที่ผ่านการวิจัย หรือสืบค้นด้วยโปรแกรมมาก่อน ก็ค่อนข้างยากที่จะประสบความสำเร็จ อยู่ในหน้าแรกของผลลัพธ์การสืบค้นของ google yahoo ซึ่งเป็น search engine ที่เป็นแนวหน้าชั้นนำของโลกในทุกวันนี้

การทำ SEO โดยเจ้าของเว็บไซต์เป็นผู้ทำเองทั้งหมด เรามักไม่พบเห็นกันบ่อย ๆ เพราะมีรายละเอียดที่ต้องลงลึก และใช้เวลาค่อนข้างมาก จึงมีบริษัทที่ช่วยรับหน้าที่นี้ โดยต้องจ่ายค่าจ้างเป็นรายเดือน หรือรายปี เพื่อความต่อเนื่องในการปรับรูปแบบและเนื้อหา โดยบริษัทเหล่านี้จะมีการทำ report ส่งแก่เจ้าของเว็บไซต์ว่ามีผลการจัดอันดับ ผลการเข้าชมหรือที่เรียกว่า traffic เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างในแต่ละวัน

ทำเว็บไซต์ SEO เรียกลูกค้าดี

การทำ SEO จึงเป็นการทำให้เว็บไซต์ของคุณอยู่ในอันดับดี ๆ ในการสืบค้น โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณาแก่ google yahoo ต่างจากการทำโฆษณาแบบ AdWords ที่เจ้าของเว็บไซต์ ต้องจ่ายแก่ search engine ต่อการคลิกแต่ละครั้ง ซึ่งอย่างหลังนี้เรียกว่าเป็นการเสียค่าใช้จ่ายในการโปรโมตที่เป็นรูปธรรม แต่ก็ต้องไม่ลืมว่า SEO จำเป็นต้องจ้างผู้มีความชำนาญในการทำอย่างต่อเนื่องด้วย คำกล่าวว่า SEO เป็นการโฆษณาฟรีจึงขึ้นกับมุมมองและการตีความของแต่ละคน

การสร้างบทความ SEO ที่ดี สำหรับปี 2019

การทำบทความ SEO ให้มีคุณภาพสำหรับการส่งเสริมธุรกิจและเพิ่มยอดขายเป็นสิ่งสำคัญที่ปฏิเสธไม่ได้ในปัจจุบัน การเขียนบทความที่มีความเป็นเอกลักษณ์ ปราศจากการคัดลอกมีผลต่อการจัดอันดับความนิยมในเว็บไซต์เพื่อการสืบค้น โดยระบบอัลกอริทึ่มของ search engine จะเป็นผู้ประมวลผลนี้

ในปี 2019 บทความ SEO ที่ดีควรมีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง จึงจะส่งเสริมธุรกิจออนไลน์ท่ามกลางกระแสการแข่งขันที่สูงเช่นในปัจจุบัน เรามาหาคำตอบไปพร้อมกันเลย

การสร้างบทความ SEO ที่ดี

การเชื่อมโยงบทนำเข้าสู่เนื้อหาใหญ่

บทความที่ชวนอ่านต้องมีการเชื่อมโยงประเด็นจากสิ่งใกล้ตัวให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญ เป็นการเปิดใจ หรือเปิดโลกทัศน์ของผู้อ่านให้พร้อมสูงเนื้อหาสำคัญต่อไป ในขั้นตอนของบทนำก็ต้องมีการใส่คีย์เวิร์ด SEO ด้วยเพื่อให้สามารถถูกตรวจจับได้จากระบบการสืบค้น

การใส่คีย์เวิร์ดที่เหมาะสมในบทความ SEO

ระบบการสืบค้นจะให้อันดับที่ดีแก่บทความที่มีคีย์เวิร์ด SEO ที่สอดคล้องและกลมกลืนกับเนื้อหา ทั้งยังต้องมีการกระจายคีย์เวิร์ดในตำแหน่งต่าง ๆ สม่ำเสมอ ไม่ควรใช้คำเดิมซ้ำบ่อย ๆ จนเกินไป เพราะจะทำให้ระบบ search engine ตีความว่าเป็นบทความขยะ หรือ spam

ก่อนจบบทความ ต้องมีวลีน่าสนใจทิ้งท้ายและชวนให้ติดตามต่อ

แม้ในส่วนของเนื้อหาจะมีความน่าดึงดูดใจและอ่านเพลินแล้ว แต่การเพิ่มความประทับใจแบบสวยงามด้วยการให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเห็นว่าเหตุใดจึงควรติดตามการเคลื่อนไหวในวงการสินค้าและบริการนั้น เช่น วงการมือถือและสินค้าไอที เครื่องเล่นเกมส์รุ่นใหม่ ๆ ฯลฯ จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ที่ทันสมัย เพิ่มความสัมพันธ์อันดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้าซึ่งจะทำให้มีโอกาสสูงที่ลูกค้ากลับมาเยี่ยมชมเว็บไซต์ และเป็นผู้สนับสนุนซื้อสินค้าและบริการในระยะยาว

การมีภาพที่น่าสนใจจะช่วยให้บทความน่าอ่าน

ต้องยอมรับว่ารูปภาพและคลิป VDO เป็นสิ่งที่ชวนให้ผู้อ่านติดตามและจดจำเว็บไซต์ผู้เป็นแหล่งข้อมูลนั้นดีขึ้น เนื่องจากไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่เป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญในธุรกิจออนไลน์นิยมใช้เวลาครั้งละสั้น ๆ แต่มีความถี่สูงในการชมข้อมูลที่น่าสนใจจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ปรากฏจากการใส่คีย์เวิร์ดสืบค้น ใน yahoo google Bing

ดังนั้นบทความ SEO ในปี 2019 จึงควรมีภาพและคลิปประกอบที่สัมพันธ์กันและส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหาบทความยิ่งขึ้น เช่น ภาพการทำงานของปุ่มคีย์บอร์ดชนิดต่าง ๆ สำหรับให้ลูกค้าเปรียบเทียบคุณสมบัติที่แตกต่างของคีย์บอร์ดแต่ละรุ่น สำหรับเว็บไซต์ขายคีย์บอร์ด ภาพกลไกการออกฤทธิ์ของยาและภาวะโรคสำหรับเว็บไซต์เกี่ยวกับสินค้าสุขภาพ เป็นต้น

การสร้างบทความ SEO สำหรับปี 2019

จะเห็นได้ว่า การทำบทความ SEO ที่ดีมีประโยชน์ต่อทั้งธุรกิจและลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย การเพิ่มรูปภาพและคลิปที่เหมาะสมเป็นการสร้างคุณค่าให้แก่ตัวงานเขียนให้มีความโดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์หรือ unique ยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่ในปี 2019 ประสงค์จะได้เห็นจากเว็บไซต์ออนไลน์นั่นเอง

4 เรื่องต้องรู้ของ SEO และ SEM

ปัจจุบันมีหลายบริษัทรับจ้างทำการตลาดออนไลน์สำหรับธุรกิจขายสินค้าและบริการทางหน้าเว็บไซต์ ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าของธุรกิจมือใหม่ในการเลือกระหว่าง SEO และ SEM และนี่คือ 4 เรื่องที่ควรทราบเพื่อการวิเคราะห์เลือกการประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจคุณ

เรื่องต้องรู้ของ SEO และ SEM

1. SEO ต้องใช้เวลานานหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือนกว่าจะเห็นผลลัพธ์จากยอดขายหรืออันดับสืบค้นที่สูงขึ้นเป็น top five หรือ top ten เนื่องจากระบบอัลกอริทึ่มของ search engine อย่างกูเกิ้ล ยาฮู บิง ต้องประมวลผลจากดาต้าที่สะสมในฐานข้อมูล แตกต่างจาก SEM ที่สามารถขึ้นอันดับสูง 1-3 ได้ทันทีหลังการจ้างทำโฆษณา

2. การทำ SEO ไม่สามารถการันตีได้ว่าผลลัพธ์ด้านรายได้จะเห็นผลคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของการลงทุนจ้างบริษัทเอกชนทำ SEO เนื่องจากต้องใช้เวลาและต้องแข่งกับเจ้าของสินค้าและผลิตภัณฑ์คู่แข่งอื่นที่ทำทั้ง SEO และ SEM ส่วนการจ้างทำ SEM จะสามารถคาดได้ง่ายกว่าว่าลงทุนจ้างทำ SEM วันนี้กี่บาท จะมีโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กี่คนต่อชั่วโมงและจะมีการตอบกลับเชิงบวกหรือเกิดการซื้อสินค้าและบริการเป็นยอดรายได้และกำไรคิดเป็นกี่เท่าจากการลงทุนจ้างทำ SEM

3. คนส่วนใหญ่ชอบดูการโฆษณาที่มีเนื้อหาใกล้ชิดหรือสอดคล้องกับวิถีชีวิตของตัวเอง ซึ่งเป็นแนวทางในการทำ SEM ให้ประสบความสำเร็จ ดังนั้นการจ้างบริษัทเอกชนที่มีประสบการณ์ด้านงานโฆษณาและมีไอเดียแปลกใหม่ในการทำ SEM ก็มักจะได้ผลสำเร็จที่ดี เป็นที่เตะตากลุ่มคนทั่วไป รวมถึงกลุ่มคนเป้าหมายให้เข้ามาซื้อสินค้าและบริการได้ดียิ่งขึ้น แต่ก็ต้องพิจารณาถึงความคุ้มค่าในการลงทุนเป็นเม็ดเงินด้วย ขณะที่การทำ SEO สามารถเรียนรู้และทำได้ด้วยตัวเองไปเรื่อย ๆ หรือหากต้องการกูรูมืออาชีพก็สามารถจ้างทำ SEO ในระยะแรก แล้วศึกษาด้วยตัวเองควบคู่กันไป เพื่อในระยะยาวเจ้าของเว็บไซต์จะได้ดูแลด้วยตัวเองและปรับแต่งส่วนต่าง ๆ แก้จุดอ่อนเสริมจุดแข็งเองได้

4. การทำ SEO และ SEM ต่างต้องมีคีย์เวิร์ดที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายที่ค้นหาข้อมูลผ่าน search engine แต่สิ่งที่ต่างกันคือ SEM มักมีการวิจัยตลาดที่เข้มข้นกว่าเพื่อจับประเด็นมาทำโฆษณาที่ตรงใจ แต่หากการวิจัยคีย์เวิร์ดพบว่าคำสืบค้นมีการเปลี่ยนความนิยมไปจากเดิม ตามเทรนด์หรือกระแสแฟชั่น งาน SEM ก็มีความยืดหยุ่นและรวดเร็วในการปรับเปลี่ยนคีย์เวิร์ดในการโฆษณาสูงกว่า SEO และจะเห็นผลลัพธ์ที่ตามมาจากการเปลี่ยนคีย์เวิร์ดเร็วกว่า SEO

ต้องรู้ของ SEO และ SEM

หวังว่าทั้ง 4 ข้อข้างต้นที่นำเสนอไป จะเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์และเลือกจ้างบริษัทที่มีประสบการณ์ในการทำ SEO และ SEM เพื่อให้ธุรกิจคุณเติบโตได้อย่างงดงามในโลกออนไลน์ต่อไป