Google Search Console คืออะไร ใช้ประโยชน์อย่างไร

Google Search Console หรือชื่อเดิมที่หลายคนรู้จักคือ webmaster tools เป็นเครื่องมือที่ผู้ทำเว็บไซต์ SEO ควรรู้จัก เพราะจะช่วยตรวจสอบคุณภาพของเว็บไซต์ได้ตลอดเวลาว่า ตรงตามหลักเกณฑ์ SEO หรือ search engine optimization ที่ Google กำหนดไว้หรือไม่

หลังจากการติดตั้ง Google Search Console เรียบร้อยแล้ว ให้เลือกโดเมนของเว็บไซต์ในการใช้งานเครื่องมือนี้ และทำการยืนยันตัวตนและระบุตัวผู้ที่มีสิทธิ์ใช้งานดูแลเว็บไซต์ให้ชัดเจน

สิ่งที่ควรศึกษาใน Google Search Console เพื่อให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น มีดังนี้

1. ค่า Performance

เป็นสิ่งที่จะบอกได้ว่า keyword ที่คุณที่เว็บไซต์ใช้อยู่ในแต่ละเพจตรงกับการสืบค้นของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากเพียงใด จะมีกราฟเส้นและตัวเลขเปอร์เซ็นต์ ที่แสดงให้เห็นรายละเอียดต่าง ๆ เช่น

ค่า Total Clicks หมายถึงจำนวนครั้งที่มีคนคลิกเข้ามาชมในเว็บไซต์หลังจากเห็นส่วน title และ meta-description ในหน้าต่างการสืบค้น

ค่า CTR หมายถึงสัดส่วนผู้ที่เห็นเว็บไซต์กับผู้ที่คลิกเข้ามา หากค่า CTR สูง ก็แสดงว่าประสบความสำเร็จในการนำเสนอข้อมูล โดยเฉพาะการตั้งหัวเรื่องและบทคัดย่อที่น่าสนใจ

ค่า Average position หมายถึง อันดับที่เว็บไซต์ของคุณปรากฏบนหน้าต่างการสืบค้น หากอยู่ในอันดับ top10 หรือ top5 ก็ยิ่งดี เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและทำให้มีโอกาสได้รับการสั่งซื้อสินค้ามากกว่าเว็บไซต์ลำดับล่าง ๆ

2. ค่า URL expectations

เป็นช่องทางที่สะดวกในการตรวจสอบว่าระบบ algorithm ของ Google ได้มาเช็คข้อมูลในเว็บไซต์หรือเพจของคุณครั้งล่าสุดเมื่อใด และมีประเด็นไหนที่ต้องแก้ไขบ้าง หากยังไม่มีการอัปเดต ทั้งที่คุณได้มีการอัปโหลดข้อมูล รูปภาพ บทความใหม่ ๆ ลงไป ก็สามารถ กดปุ่ม Request index เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้ระบบ AI ของ Google รีบมาเก็บข้อมูลที่อัปเดตได้

3. ค่า Link

การทำลิงก์มีผลต่ออันดับ SEO ไม่ว่าจะเป็นลิงก์ระหว่างเว็บไซต์ที่คุณเชื่อมโยงเป็นพันธมิตรการค้า ที่เรียกว่า External Link หรือ Internal Link ที่เชื่อมเพจภายในเว็บไซต์ของตัวเอง

ฟังก์ชันนี้จะทำให้เห็นได้ว่าผู้คนที่เข้ามาในเว็บไซต์คุณนั้นมาจากการคลิกลิงก์ที่ใด เว็บไซต์ใดที่คุณควรให้ความสำคัญทำลิงก์ต่อไป หรือเป็นแนวทางในการขยายฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น ทั้งยังทำให้รู้ถึงความต้องการของลูกค้าเป้าหมายได้ว่า ต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมในบทความประเภทใดบ้าง หรือประทับใจในสไตล์การเขียนงานแบบใด เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า Google Search Console เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การทำ SEO ของคุณประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น ทำให้สามารถแก้ไขจุดอ่อนได้อย่างตรงตรงประเด็น และทำให้มีการขยายฐานลูกค้าของแบรนด์ที่กว้างขึ้นได้ในเวลารวดเร็ว ที่สำคัญคือ ทำให้มีตัวเลขยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายในยุคที่เศรษฐกิจมีความผันผวนอย่างในปัจจุบัน

Google Search Console คืออะไร ใช้ประโยชน์อย่างไร

วิธีการเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่ดี

การทำ SEO ให้แก่เว็บไซต์ออนไลน์เป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการแข่งขันทางการค้ามากขึ้น จากการที่เว็บไซต์จะถูกประเมินด้วยระบบ algorithm ของ Google ให้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของหน้าต่างการสืบค้น

ผู้ที่ต้องการจ้างบริษัททำ SEO จึงควรทราบวิธีเลือกบริษัทที่มีคุณสมบัติที่ดีเพื่อให้ไม่เสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงหรือคาดหวังผลเกินความเป็นจริง ดังนี้

1. การเลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ

โดยสังเกตจากใบทะเบียนการค้าและเว็บไซต์ที่มีการลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน มีที่อยู่และผู้รับผิดชอบที่ติดต่อได้จริง เป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานที่ต้องพิจารณา ทั้งนี้ ควรอ่านรีวิวโดยผู้ใช้บริการจริง ว่าให้ผลลัพธ์การทำ SEO ที่น่าพึงพอใจด้วย ซึ่งจะสามารถหาข้อมูลการรีวิวได้จากเว็บไซต์ออนไลน์ เช่น เว็บไซต์พันทิป หรือกลุ่มรับจ้างทำ SEO ใน Facebook

2. การมีขั้นตอนแบบมืออาชีพ

ผู้ให้บริการ SEO ต้องสามารถอธิบายได้ว่า ขั้นตอนการทำ SEO ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ซึ่งกูรูด้านการตลาดแนะนำว่า ควรเริ่มจากการปรับแก้ไขส่วนโครงสร้างพื้นฐานหรือที่เรียกว่า on-page SEO เพื่อสามารถต่อยอดให้ทำในส่วน Backlink และการเพิ่มบทความ SEO เพื่อส่งเสริมการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

3. การรายงานผล

ผลสรุปรายวันและรายเดือนสำหรับการทำ SEO มีประโยชน์ต่อการหาจุดบกพร่องที่ควรแก้ไขในแต่ละวัน บริษัทที่ทำ SEO จึงต้องมีการกล่าวถึงเรื่องนี้ในสัญญาจ้างงานด้วย

4. ต้องไม่เลือกวิธีที่ผิดกฎที่ Google กำหนด

การทำสแปม keyword (มีการใส่ keyword ซ้ำ ๆ หรือเป็นคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทความ) จะทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์ของลูกค้าตกต่ำลงไปได้ และในที่สุดก็จะถูกแบนจากระบบของ Google ได้ด้วย

5. ราคาการทำ SEO เหมาะสม

ราคาการจ้างงานจะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่แตกต่างจากปกติมากนัก หากคิดราคาถูกเกินไป อาจเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงหรือถูกทิ้งงานกลางคันได้

6. การการันตีผลการทำ SEO

โดยปกติแล้วระบบ algorithm ของ Google จะมีการเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นระยะ เพื่อนำไปประมวลและอัปเดตผลการเปลี่ยนแปลงการนำเสนอในหน้าต่างการสืบค้นอย่าง Google search ซึ่งจะไม่สามารถมีการบังคับอันดับการนำเสนอได้ สิ่งที่คาดหวังผลได้มากที่สุด คือ การทำให้เว็บไซต์อยู่ในหน้าแรกของหน้าต่างการสืบค้น หรือ Top 5 Top 10 เท่านั้น หากบริษัทที่รับทำ SEO การันตีว่าสามารถทำอยู่ในอันดับที่ 1 ได้อย่างแน่นอน อาจเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงหรือใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมได้

จะเห็นได้ว่า การเลือกบริษัททำ SEO จะต้องใส่ใจในเรื่องความน่าเชื่อถือ ขั้นตอนการทำ และศักยภาพของบริษัทที่รับทำ เพื่อให้ผู้จ้างทำ SEO ไม่เสียโอกาสการแข่งขันทางธุรกิจและทำให้การจ้างงานคุ้มค่ายิ่งขึ้น

การจ้างบริษัททำ SEO จึงควรทราบวิธีเลือกบริษัท

วิธีทำให้เว็บไซต์ SEO ตรงใจลูกค้าผู้ใช้งาน อยากขายดีต้องอ่าน

การทำเว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ให้ตรงใจลูกค้าเป้าหมายจนขายดีได้นั้น ไม่สามารถเน้นที่แค่ความสวยงามของเว็บไซต์เพียงอย่างเดียว ยังต้องอาศัยองค์ประกอบอื่น ๆ และมีการพัฒนาเว็บไซต์ตามหลัก SEO อย่างสม่ำเสมอด้วย จึงจะเห็นผลลัพธ์ความสำเร็จทั้งยอดขายและจำนวนลูกค้าได้

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นเทคนิคการตลาดแบบไม่ต้องใช้เงินเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณา เพียงแต่อาศัยการปรับปรุงคุณภาพเว็บไซต์ให้เหมาะสม ตามที่ Search Engine ระบุเกณฑ์ไว้ ซึ่งมีกูรูผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาเว็บไซต์ออนไลน์ออกมาแนะนำวิธีการทำ SEO มากมาย

เราขอสรุปหลักการที่ควรทราบ เพื่อให้เว็บไซต์ SEO ที่ทำตรงใจกลุ่มเป้าหมาย จนเพิ่มยอดขายได้จริง ดังนี้

1. เลือก Keyword ที่เหมาะสม ควรใช้เป็น Long-Tailed Keyword ทำให้ตรงกับการสืบค้นของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากกว่าการใช้ Keyword กว้าง ๆ ทั่วไป

ตัวอย่างเช่น ใช้คำว่า ร้านขายดอกไม้ รับปริญญาออนไลน์ราคาถูก ดีกว่าใช้คำว่า ร้านขายดอกไม้ออนไลน์ เป็นต้น จะมีโอกาสขายให้คนที่กำลังมองหาดอกไม้ราคาถูกให้บัณฑิตช่วงรับปริญญาได้ดียิ่งขึ้น

2. เลือก Web Hosting ที่มีคุณภาพ เพื่อให้ระบบการบริหารจัดการราบรื่น ทั้งยังมีทีมงานที่ดูแล Server แก้ปัญหาให้อย่างรวดเร็ว ไม่มีปัญหาเว็บค้าง หรือใช้เวลาดาวน์โหลดนานซึ่งจะส่งผลต่อความประทับใจของผู้ใช้งาน อย่าลืมว่า แม้ว่าทำเว็บไซต์ SEO ได้ดีมีคุณภาพ แต่ถ้าใช้เวลาโหลดนานก็อาจไม่เป็นที่ประทับใจ ทั้งนี้ มีการวิจัยว่าหากรอคอยการโหลดนานเกิน 3 วินาที จะทำให้ผู้ใช้งานกดปิดและเปลี่ยนไปดูข้อมูลจากเว็บไซต์อื่นแทน

3. เลือกทีมงานผู้ผลิตบทความ SEO ที่มีคุณภาพ มากกว่าการเลือกจากราคาบทความที่ถูก เพราะเนื้อหาเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าได้รับความรู้และเชื่อมั่นในแบรนด์สินค้า เทคนิคการเขียนที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญ อีกทั้งต้องไม่มีการคัดลอกบทความมาจากแหล่งอื่น บทความที่มีคุณภาพจะทำให้ค่าทางสถิติ เช่น ระยะเวลาในการชมเพจ หรือ Time On Site ยาวนาน มีการคลิกเข้ามาชม Click Through Rate (CTR) เป็นสัดส่วนที่สูง ซึ่งยิ่งส่งผลดีต่ออันดับ SEO ได้ด้วย

4. การตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้าและบริการในเว็บไซต์ในสังคมโซเชียล เช่น Pantip จะช่วยให้คุณเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น และสามารถที่จะแนะนำลิงก์ เพื่อให้ผู้ที่ต้องการข้อมูลมาสอบถามหรือชมสินค้าของคุณ จนมีการเพิ่มยอดขายที่ดีในระยะยาวได้

จะเห็นได้ว่า หากต้องการให้เว็บไซต์ตรงใจผู้ซื้อ จนเพิ่มยอดขายจากการทำ SEO แล้ว ต้องใช้หลายเทคนิคร่วมกันและมีความสม่ำเสมอในการทำ แม้ต้องใช้เวลา 5 ถึง 6 เดือนขึ้นไปกว่าจะเห็นผลชัดเจน แต่กูรูเว็บไซต์การันตีว่ายอดขายจะเพิ่มมากขึ้นแน่นอน

การทำ SEO หรือ Search Engine Optimization

ลิงก์แบบ Do Follow คืออะไร มีผลกับ SEO อย่างไร

เมื่อเจ้าของธุรกิจสร้างเว็บไซต์ใหม่ ต้องการโปรโมทให้เว็บติดอันดับหน้าแรกของเครื่องมือค้นหามีหลายวิธี แต่ละวิธีให้ผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน หนึ่งในนั้นคือการสร้างลิงก์แบบ Do Follow เป็นวิธีการเชื่อมโยงกับเว็บไซต์อื่นเพื่อเพิ่มคะแนน SEO โดยไม่สร้างจุดด่างพร้อยเพราะไม่ผิดกติกาของ Google การสร้างลิงก์แบ่งออกเป็น Do Follow และ No Follow มีรายละเอียดแตกต่างกันดังนี้

Do Follow สร้างลิงก์เพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บ

การสร้างลิงค์ Do Follow เป็นการเชื่อมโยงจากเว็บไซต์ไปยังเว็บอ้างอิงอื่น ๆ พร้อมกับส่งต่อลิงก์กลับมายังเว็บของตนเองเพื่อเปิดการค้นหาติดตามทำให้ผู้ชมคลิกกลับมายังเว็บไซต์ของคุณมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและเครื่องมือค้นหาสามารถติดตามได้เช่นเดียวกัน เรียกว่าทั้งเพิ่มจำนวนลิงก์ (Back Link) ให้เว็บของตัวเองและช่วยเพิ่มค่าอันดับ (PageRank) ด้วย บอทของเครื่องมือค้นหาจะนับจำนวนคนเข้า ด้วยเหตุนี้ยิ่งมีลิงก์มากเท่าไรก็จะได้รับคะแนน SEO มากขึ้นซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเว็บไซต์ให้ได้รับการจัดลำดับในอันดับที่ดีขึ้น วิธีดีที่สุดคือการเขียนบทความที่มีประโยชน์ น่าอ่าน โดยใช้คำหลักเป็นตัวยึดข้อความเชื่อมโยงกับคำค้นหาของผู้ใช้เสิร์จเอนจิ้นนั่นเอง การตั้งค่า Do Follow นับเป็นสิ่งสำคัญเพราะทำให้ได้ลิงก์กลับมาจากทุกที่ รวมถึงลิงก์ติดตามจากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงซึ่งจะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้อีกด้วย

No Follow

การตั้งค่า No Follow หมายถึงการสร้างลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บอื่นโดยไม่เปิดให้เครื่องมือค้นหาติดตามลิงก์ จึงไม่มีการนับคะแนนแบบการทำ SEO แต่ยังเชื่อมโยงให้ผู้ชมคลิกย้อนกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณได้ มีจำนวนผู้เข้าชมมากขึ้น แตกต่างตรงที่ไม่มี BackLink กลับมาที่เว็บของตัวเอง และไม่ช่วยเพิ่มค่าอันดับของหน้าเว็บไซต์ให้สูงขึ้น ถือเป็นวิธีการสร้างลิงก์แบบธรรมชาติที่ปลอดภัย ไม่เสี่ยงกับลิงก์คุณภาพต่ำที่เป็นอันตรายต่อเว็บไซต์ ถึงจะไม่เพิ่มอันดับเว็บแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลิงก์นั้นไม่มีประโยชน์ เพราะการที่เว็บไซต์มีการเข้าชมจำนวนมากให้ประโยชน์มากมาย ช่วยให้เว็บเป็นที่รู้จักมากขึ้นและเพิ่มโอกาสในการขายมากกว่าคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน

การตรวจสอบลิงก์ว่าเป็น Do Follow หรือ No Follow มีข้อแตกต่างดังนี้

ลิงก์ Do Follow เช่น SE Ranking

ลิงก์ No Follow เช่น SE RankingDo Follow สร้างลิงก์เพิ่มจำนวนคนเข้าเว็บ

เว็บมาสเตอร์ที่เชี่ยวชาญแนะนำว่าควรใช้ผสมผสานทั้ง Do Follow และ No Follow ต้องสร้างความสมดุลให้ดี เพราะการสร้างลิงก์ขาเข้าเป็น Do Follow ทั้งหมดจะน่าสงสัยและไม่เป็นธรรมชาติ อย่ามองว่าลิงก์ประเภท No Follow ไม่มีค่าสำหรับ SEO แต่ควรมองประโยชน์ในด้านทำให้ธุรกิจและแบรนด์เป็นที่รู้จัก ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น การสร้างลิงก์แบบ No Follow เหมาะใช้ในกรณีที่ไม่ต้องการติดตามเนื้อหาในเว็บที่ไม่น่าเชื่อถือ ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในระยะยาว การสร้างลิงก์ Do Follow และ No Follow ให้ผลลัพธ์ที่ดีแตกต่างกันไปและถูกกว่าการทำโฆษณาแบบอื่น ๆ มาก การรอผลลัพธ์นั้นต้องใช้เวลาแต่จะช่วยให้เข้าไปอยู่ในหน้าแรก ๆ ในการจัดอันดับเว็บไซต์ของ Google ได้อย่างแน่นอน

จ้างทำ SEO อย่าเน้นที่ราคาถูกเท่านั้น

การทำ SEO เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับนักธุรกิจออนไลน์ เนื่องจากเป็นการประชาสัมพันธ์ร้านค้าให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างดีที่สุด ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือก Location ที่ดีที่สุด สำคัญต่อร้านอย่างยิ่ง เนื่องจากส่งผลต่อยอดขายและกำไรของธุรกิจอย่างชัดเจน หากคุณมีสินค้าดี แต่ไม่สามารถทำให้ลูกค้ารู้ได้ว่ายังมี ของดี อยู่ตรงนี้ ก็จะทำให้ เสียโอกาส และ ชวด ลูกค้าไปให้คู่แข่ง ซึ่งเรียกได้ว่า เสียหายหลายแสน ยิ่งกว่า การเสียค่าจ้างทำ SEO อย่างแน่นอน ซึ่งการทำ SEO ที่บางคนอาจเคยเห็น คือ การแทรก keyword ลงในบทความคุณภาพ ซึ่งจำเป็นต้องใช้คีย์เวิร์ดที่มีความสัมพันธ์กับสินค้าและบริการที่ธุรกิจคุณทำและต้องมีเนื้อหาที่ให้สาระเพียงพอแก่ลูกค้า ไม่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเสียเวลา เสียค่าเน็ตโดยเปล่าประโยชน์

การทำ SEO ไม่ใช่ใครก็ได้

ทั้งนี้ ในการทำ SEO ไม่ใช่ว่าจะจ้างใครทำก็ได้ เพราะเมื่อลอง search หาตามกูเกิ้ล search engine สุดฮิตของคนไทย ก็ยังพบว่า รับทำบทความ SEO ราคาถูก มาแข่งด้านราคากันอยู่ แลดูไม่ต่างจากร้านค้าที่แข่งกันลดราคา ซึ่งหากผู้ซื้อไม่ใส่ใจว่าคุณภาพของสินค้า หรือ บทความจะมีความน่าดู น่าอ่านเพียงใด ก็ย่อมส่งผลประสิทธิผลที่ตามมาจากการลงทุนจ้างที่เสียเปล่าอย่างไม่ต้องคาดเดา

หากเป็นอดีต สัก 10 ปีที่แล้ว การจ้างงานบริษัทใหญ่ ๆ ที่รับทำ SEO จะเป็นที่นิยมมาก เพราะสามารถการันตีปริมาณ หรือจำนวนบท / หน้า และการแลกลิ้งค์ เพื่อสร้าง Blacklink ที่ทำให้ search engine เข้าใจหรืออนุมานว่าเกิดจากการนิยมแชร์บอกต่อ ๆ ของลูกค้า แต่ปัจจุบัน เนื้อหาที่มีคุณภาพและการใช้ภาษาที่สื่อสารถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงใจ มีความสำคัญยิ่งกว่าหลายเท่าตัว เนื่องจากเทรนด์การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อการเลือกดูข้อมูล การตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการของคนยุค millennial หรือ ปัจจุบันก็อยู่ในช่วงวัย 18 – 34 ปี ไม่เหมือนคนยุคเก่าอีกแล้ว

การใช้ภาษาที่แสดงถึงความจริงใจ ซื่อสัตย์ สมเหตุสมผล ไม่โฆษณาอย่าง hardcore โจ่งแจ้ง มีความสำคัญเช่นเดียวกับเนื้อหาที่ต้องมีความแน่นหนักชัดเจนของความถูกต้องและเชื่อถือได้จริง หากมีการอ้างอิงตามหลักวิชาการก็จะยิ่งเป็นผลบวกต่อธุรกิจที่ขายสินค้าทางด้านสุขภาพ เช่น อาหารเสริม ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือแม้แต่กลุ่มสินค้าการกีฬา ก็ยังจำเป็นต้องเลือกผู้เขียนที่มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพ เช่น แพทย์ เภสัชกร วิทยาศาสตร์การกีฬา หรือ ผู้ที่มีประสบการณ์เล่นกีฬาจริง ๆ จึงจะได้ content SEO ที่ เข้าถึง ผู้อ่านได้จริง

จะเห็นได้ว่าการทำ SEO ไม่ใช่ใครหรือบริษัทไหนก็รับทำ SEO ที่ให้ผลงานถูกใจเหมาะกับธุรกิจคุณได้ หากคุณเน้นเรื่องคุณภาพบทความ SEO และภาพลักษณ์ของธุรกิจ (หากคุณเน้นเรื่องปริมาณ ก็สามารถใช้โมเดลแบบเดิม ๆ ได้)

จ้างทำ SEO อย่าเน้นที่ราคาถูกเท่านั้น

ความแตกต่างของการทำ SEO แบบ On-page และ Off-page

การปรับปรุงเว็บไซต์ให้ติดอับดับในการค้นหาหน้าแรก ๆ ของ Google ก่อนอื่นต้องทำความเข้าถึงความแตกต่างของการทำ SEO แบบ On-page และ Off-page เพื่อรู้เป้าหมายว่าควรทำแต่ละอย่างอย่างไร เกิดความชัดเจนและทำควบคู่กันไปได้โดยไม่สับสน ก่อนอื่นมารู้จักการทำ SEO รูปแบบ On-page หมายถึงการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์เพื่อตอบโจทย์สิ่งที่ผู้ค้นหาต้องการมากที่สุด โดยเริ่มจากการออกแบบโครงสร้างที่ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อนหรือมีจำนวนหน้ามากเกินไป ซึ่งอำนวยความสะดวกให้ค้นหาสิ่งที่ต้องการพบอย่างรวดเร็ว ไม่เสียเวลานาน

ทำความเข้าใจกับการใช้คีย์เวิร์ดเป็นสิ่งสำคัญ

สิ่งสำคัญคือควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้คีย์เวิร์ด การกำหนดคีย์เวิร์ดต้องเลือกคำที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นคำทั่วไปเพื่อเจาะเป้าหมายในวงกว้าง หรือคำเฉพาะและคำขยายที่จับตลาดลูกค้าเป้าหมายโดยตรง เมื่อได้คำที่เหมาะสมแล้วให้นำมาแทรกในบทความอย่างแนบเนียน ตั้งแต่ชื่อเรื่อง ในเนื้อหา รวมทั้งชื่อรูปภาพและวิดีโอด้วย เพื่อช่วยให้การค้นหาเว็บไซต์ติดอันดับหน้าแรกๆ ของ Google เพื่อสร้างโอกาสการเสนอขายสินค้าและบริการสู่สายตาผู้ชมจำนวนมาก ยิ่งสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักกว้างขวางมากเท่าไรยิ่งมีโอกาสปิดยอดขายมากและเร็วขึ้นเท่านั้น

สำหรับการทำ SEO รูปแบบ Off-page แตกต่างออกไป โดยตัดเรื่องการค้นหาจากหน้า Google ออกไปก่อน หันมาพิจารณาประสิทธิภาพของเว็บไซต์จากปัจจัยภายนอก เช่น ความน่าเชื่อถือ , ความนิยมและความเห็นของผู้ใช้งาน สรุปว่าการทำ SEO แบบ Off-page เป็นฟีดแบ็กที่สะท้อนกลับมา ไม่เกี่ยวข้องกับการโพสต์บทความหรือปรับแต่งหน้าเว็บเลย เป้าหมายสำคัญคือการสร้างความน่าเชื่อถือ แสดงให้ผู้ชมเห็นว่ามีผู้ชมเข้ามาใช้บริการเว็บไซต์จำนวนมาก สะท้อนให้เห็นว่าลูกค้าพอใจเว็บนี้ พร้อมกับแสดงให้เห็นว่าตอบโจทย์ความต้องการได้มากขนาดไหน เช่น การใส่ Backlink จากเว็บไซต์อื่น ๆ เข้ามาในเว็บไซต์ของเรา วิธีการสร้างเครือข่ายจะต้องคัดเฟ้นเฉพาะเว็บที่มีคุณภาพเท่านั้นที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรกับเรา เท่ากับเป็นกระจกสะท้อนตัวเราว่ามีคุณภาพความน่าเชื่อถือระดับไหน สิ่งนี้สำคัญต่อการทำธุรกิจออนไลน์ ถ้าลูกค้าไม่เชื่อมั่น การตัดสินใจซื้อจะเป็นไปได้ยาก

ทำความเข้าใจกับการใช้คีย์เวิร์ดเป็นสิ่งสำคัญ

นอกจากเว็บพันธมิตรต้องมีคุณภาพแล้ว ยังต้องมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณด้วย เพราะถ้าดึงเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องมาลิงก์ด้วย ทาง Google จะพิจารณาว่าเป็นลิงก์ที่ไม่เกิดประโยชน์และไม่ให้น้ำหนักความสำคัญในการจัดอันดับ ซ้ำร้ายการทำ SEO ที่ผิดวิธี ทั้งการลิงก์เว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องและการกระหน่ำใส่คีย์เวิร์ดลงในบทความมากเกินไปจนอ่านไม่รู้เรื่อง ทำให้ถูกมองว่าเป็นสแปมและถูกลงโทษจาก Google ไม่ให้เว็บอยู่ในการจัดอันดับชั่วคราว การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ค้นหาสิ่งที่ต้องการรวดเร็ว ใช้เวลาโหลดไม่นาน มีความสะดวกและปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากขึ้น ทั้งหมดนี้ทำได้ไม่ยากเพียงแต่ต้องเข้าใจหลักการทำให้ถูกต้องตั้งแต่แรก เขียนเนื้อหาบทความที่ดีเป็นแบบที่ผู้อ่านชอบและใส่คีย์เวิร์ดลงไปเท่าที่จำเป็น