เทคนิค 6 ข้อ ตั้งหัวข้อ SEO ให้ได้ยอดคลิกเยอะกว่าที่ผ่านมา

หัวข้อของ บทความ SEO มีความสำคัญและเป็นหน้าด่านแรกในการเรียกคนให้คลิกเข้าไปดูเนื้อหาของคุณเลยก็ว่าได้ ฉะนั้นการตั้งหัวข้อจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่แพ้กลยุทธ์การเลือกใช้คีย์เวิร์ดที่ถูกต้องและเหมาะสม เราจึงเอาเทคนิคการตั้งหัวข้อมาฝากให้คุณเรียกคนเข้าไปในเว็บไซต์ของคุณให้เยอะขึ้นดังต่อไปนี้

เทคนิคการตั้งหัวข้อ SEO

ใส่คีย์เวิร์ด : แน่นอนว่าหัวข้อของคุณจะต้องมีคีย์เวิร์ดที่คนใช้ค้นหาด้วย ยิ่งเป็นคีย์เวิร์ดที่ตรงกับการค้นหามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแรงจูงใจให้คนอยากคลิกเข้าไปอ่านในเนื้อหาของคุณได้มากขึ้นเท่านั้น

อ่านปุ๊บเข้าใจปั๊บ : ทางที่ดีที่สุดคือการใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายและไม่ควรเป็นหัวข้อที่ยาวจนเกินไป เพราะเมื่อไหร่ที่หัวข้อยาวจะทำให้คนเลื่อนผ่านเนื้อหาของคุณไปโดยทันทีแบบไม่ต้องเปิดอ่าน ซึ่งถือว่าเป็นความท้าทายยิ่งกว่าการอธิบายหัวข้อด้วยการใช้คำหลายคำเสียอีก แต่ถ้าคุณทำได้ก็จะทำให้มียอดคลิกเพิ่มได้

เขียนให้ได้ Call to action : หัวข้อแบบ call to action จะช่วยให้คนคลิกเข้าไปในเนื้อหาของคุณเหมือนเป็นการสร้างแรงจูงใจอย่างหนึ่ง ซึ่งหัวข้อนี้เหมาะกับการทำ sales page เช่น การใช้คำว่า คลิกด่วน! เฉพาะคุณเท่านั้น! อย่ารอช้า! รีบเปิดก่อนหมดสิทธิ์! เป็นต้น

ตั้งชื่อหัวข้อด้วยคำถาม : ลองคิดดูสิว่าเวลาคุณค้นหาคำตอบอะไรก็แล้วแต่ คุณจะเริ่มต้นด้วยคำถามด้วยเช่นกัน เทคนิคนี้จะทำให้คนที่เลื่อนมาเจอหัวข้อของคุณรู้สึกอยากค้นหาคำตอบ ซึ่งความรู้สึกอยากค้นหานี้จะนำไปสู่การคลิกเข้าไปดูเนื้อหาด้านในนั่นเอง เช่น การใช้คำว่า ทำไม… อะไรคือ…

กระตุ้นอารมณ์ให้คลิก : ความตื่นเต้นเร้าใจและปลุกใจเป็นสิ่งที่สร้างความอยากรู้อยากเห็นของคุณได้ ซึ่งเมื่อไหร่ที่คุณกระตุ้นอารมณ์ความอยากรู้ของคนได้เมื่อไหร่ ก็จะทำให้เนื้อหาของคุณถูกเปิดอ่านได้แบบง่าย ๆ เช่น การใช้คำว่า ด่วน! พิเศษ! เท่านั้น! เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหัวข้อ

ใช้ตัวเลขช่วย : การมีตัวหนังสืออย่างเดียวบนหัวข้อนั้นทำให้คนต้องใช้เวลาอ่านหัวข้ออย่างน้อย 3 วินาทีขึ้นไป แต่การใช้ตัวเลขเข้ามาคั่นตัวหนังสือจะช่วยให้หัวข้อของคุณดูสะดุดตามากขึ้นและทำให้คนอ่านรู้สึกอ่านง่ายมากกว่าการใช้ตัวหนังสือเพียงอย่างเดียว

จะเห็นได้ว่าการตั้งหัวข้อนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ศาสตร์ของการใช้คีย์เวิร์ดเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นศิลป์ที่ต้องจูงใจให้คนคลิกเข้าไปอ่านอีกด้วย แล้วอย่าลืมนำเทคนิคดี ๆ แบบนี้ไปลองใช้กับการทำ SEO บนเว็บไซต์ของคุณต่อไป

เทคนิค 6 ข้อ ตั้งหัวข้อ SEO ให้ได้ยอดคลิกเยอะกว่าที่ผ่านมา

เคล็ดไม่ลับ 4 ข้อ เพื่อการทำ backlink ของ SEO ให้มีคุณภาพ

เคล็ดไม่ลับ 4 ข้อ เพื่อการทำ backlink ของ SEO ให้มีคุณภาพ

การทำ SEO นั้นไม่ได้มีเพียงส่วนที่เป็น on-page เท่านั้นที่เจ้าของเว็บไซต์หลายคนควรให้ความสำคัญ แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่มีผลต่อการไต่ขึ้นอันดับ SEO เป็นอย่างมากก็คือการทำ backlink ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการทำ off-page นั่นเอง วันนี้เราเลยนำวิธีการทำ backlink ที่ถูกต้องมาฝาก เพื่อให้คุณได้นำไปลงมือปฏิบัติเพื่อสร้าง backlink ที่มีคุณภาพให้กับเว็บไซต์ของคุณกัน

สร้าง backlink ที่มีคุณภาพ

1. หลีกเลี่ยงการทำ backlink บนเว็บบอร์ดที่มีกระทู้เยอะ ๆ

เราจะเห็นว่ามีการทำ backlink ประเภทที่นำไปโพสต์ลงบนกระทู้หรือเว็บบอร์ดที่มีคนเข้าไปคอมเมนต์หรือมีคนโพสต์เป็นจำนวนมาก ซึ่งนั่นไม่ใช่วิธีที่ผิด แต่มันสามารถทำให้คุณกลายเป็น spam ซึ่งส่งผลทำให้เว็บไซต์ของคุณตกอันดับและยังดูเป็นการก่อกวนอีกด้วย หากเว็บไซต์ไหนที่ทำบ่อยจนถูกรายงานบ่อย ๆ ก็อาจถูกแบนไม่ให้ขึ้นไปอยู่บนหน้าใด ๆ ของ search engine เลย

2. ใส่ backlink เข้าไปในเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือและเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด

การทำ backlink บนเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือนั้น จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณได้รับความน่าเชื่อถือและไต่ขึ้นอันดับได้ง่ายกว่าการนำ link ไปแปะไว้บนเว็บไซต์ที่ไม่มีคุณภาพหรือสุ่มเสี่ยงต่อการทำผิดนโยบายของ search engine ทั้งหลาย ซึ่งเว็บไซต์ที่คุณนำไปฝากลิงก์นั้น ก็ควรมีคีย์เวิร์ดและเนื้อหาที่ตรงประเด็นเกี่ยวกับเรื่องราวในหน้าที่คุณจะทำ backlink ด้วย

3. ค่อย ๆ เพิ่ม backlink ให้ดูเป็นธรรมชาติ

วิธีทำ backlink ให้ดูเป็นธรรมชาตินั้น ไม่ใช่การสร้างแล้วนำไป link ไว้กับหลาย ๆ เว็บไซต์ในระยะเวลาสั้น ๆ แต่เป็นการทำอย่างค่อยเป็นค่อยไปเพื่อให้ดูมีความเป็นธรรมชาติ ซึ่งหลายคนใช้ระยะเวลาสั้น ๆ เพราะอยากติดอันดับเร็ว ๆ และอยากให้มี traffic วิ่งเข้าไปในเว็บไซต์ตามระยะเวลาที่ใจต้องการ แต่นั่นเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้องและทำให้เว็บไซต์ของคุณขาดความน่าเชื่อถือได้

4. อย่าสร้าง backlink ด้วยการ spin บทความ

การ spin บทความและสร้าง link นั้นเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ง่ายและช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีจำนวน link ที่เพิ่มขึ้นได้โดยไม่ต้องใช้เวลานาน แต่ search engine อย่าง Google นั้นไม่ชอบการ spin บทความเอาซะเลย เพราะการ spin ทำให้บทความดูไม่เป็นธรรมชาติ อ่านแล้วไม่รู้เรื่องและเป็นการสร้างเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่มุ่งแต่ปริมาณแต่ไม่เน้นคุณภาพนั่นเอง

การทำ backlink นั้นถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการทำ SEO เพราะไม่เพียงแค่เป็นการช่วยเพิ่ม traffic เข้าไปยังเว็บไซต์ของคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มคะแนนความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของคุณด้วยเช่นกัน ฉะนั้นการทำ backlink ให้มีคุณภาพนั้น จึงเป็นสิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์ต้องมั่นใจว่าได้ทำอย่างถูกหลักการแล้ว

สร้าง backlink ที่มีคุณภาพ

วิธีทำ Content ทรงคุณค่าด้วย SEO ปี 2020

Content เป็นคำที่ได้ยินบ่อยมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งนักการตลาดหลายคนให้ความสำคัญกับ Content มากเพราะ Content เป็นเครื่องมือการตลาดที่ช่วยดึงดูดลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้เข้ามาหาและยังเป็นสิ่งที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตัวแบรนด์ ทำให้นักการตลาดหรือนักขายของออนไลน์ในปัจจุบัน ต่างใช้เวลาในการสร้างคอนเทนต์ให้ดีที่สุด

Content หรือ คอนเทนต์ คือ การสร้างมูลค่าให้กับแบรนด์ด้วยเรื่องราวหรือคุณประโยชน์บางอย่างที่ทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรู้สึกถึงความคุ้มค่า มีที่มาที่ไปและช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย

ในช่วงปีที่ผ่านมากเทรนด์การทำคอนเทนต์มีเป้าหมายเพื่อสร้างความประทับใจเพื่อให้ลูกค้ากดแชร์เนื้อหาเหล่านั้นไปยังบุคคลอื่นที่อยู่ใน Social Media ต่อไป แต่ในปีนี้เทรนด์ในการสร้างคอนเทนต์มีเป้าหมายเพื่อสร้างคอนเทนต์ทรงคุณค่า เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากที่สุด โดยวิธีทำ Content ทรงคุณค่าด้วย SEO ปี 2020 มีดังนี้

ทำ Content 2020

สร้าง Content ที่มีจุดแข็ง การเขียนคอนเทนต์ที่มีจุดแข็งจะเป็นการเขียนเพื่อลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเท่านั้น โดยอาจใช้วิธีการเขียนที่มีจุดเด่นผสมผสานเพื่อให้เกิดความน่าสนใจมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนคอนเทนต์เรื่องยาก ๆ ที่คนธรรมดาเข้าใจได้ยากให้กลายเป็นคอนเทนต์ที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย หรือคอนเทนต์ที่เปลี่ยนมุมมองของเรื่องราวธรรมดา ๆ ให้มีเรื่องราวที่น่าสนใจ เป็นต้น

ตั้งหัวข้อ Content ด้วยหลัก 4W1H ในความเป็นจริงแล้วหลักการ 4W1H เป็นหลักการเขียนพื้นฐานที่เราต่างได้เรียนรู้มาในตอนที่เป็นนักเรียน ซึ่ง 4W1H คือ วิธีการเขียนเนื้อเรื่องด้วยการตั้งคำถามโดยใช้ What, Where, When, Why และ How (อะไร, ที่ไหน,เมื่อไหร่, ทำไมและอย่างไร) ซึ่งการตั้งคำถามด้วยหลักการนี้จะเป็นการตอบรับกับระบบ AI ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาใน Search Engine ด้วย จึงทำให้บทความที่ใช้หลักการนี้จึงมีเปอร์เซ็นต์ติดอันดับบนหน้าแรกของ Search Engine เพิ่มขึ้นด้วย

เขียนเนื้อหาคอนเทนต์โดยอิงประสบการณ์ ประสบการณ์เป็นสิ่งที่มีมูลค่าและสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้อ่านได้เป็นอย่างดี ทำให้การเขียนคอนเทนต์ที่อิงประสบการณ์ผสมผสานกับหลัก SEO จะทำให้บทความติดอันดับง่ายขึ้นและมีความน่าสนใจมากพอที่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจะเข้าสู่เว็บไซต์เพื่ออ่าน

อ้างอิงแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ การเขียนคอนเทนต์ที่มีคุณค่า ควรเป็นคอนเทนต์ที่นำข้อมูลที่มีแหล่งที่น่าเชื่อถือได้มาอ้างประกอบบ้าง เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบว่าเนื้อหาที่กำลังอ่านอยู่นั้นมีข้อเท็จจริงมากน้อยเพียงใด

นอกจากวิธีการเขียนคอนเทนต์ที่ทรงคุณค่าแล้ว การจัดเรียงเนื้อหาให้อ่านง่ายและใช้ภาพประกอบที่น่าสนใจ จะทำให้บทความน่าอ่านมากขึ้น รวมถึงการผสานการทำ SEO จะทำให้บทความเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายกว่าด้วย

วิธีทำ Content ทรงคุณค่าด้วย SEO ปี 2020

เริ่มต้นการทำ SEO บน YouTube ได้อย่างไร

ปัจจุบันอาชีพ YouTuber เป็นเทรนด์ที่กำลังได้รับความนิยมมาก เพราะค่าตอบแทนของการเป็น YouTuber ที่มีความนิยมสูงก็จะมีค่าตอบแทนสูงตามไปด้วย ซึ่งหลายคนไม่ได้สร้างช่อง YouTube เพื่อสร้างชื่อเสียงในด้านใดด้านหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่ช่องยูทูปยังสามารถเป็นพื้นที่โฆษณาสินค้าของตัวเองหรือขายสินค้าให้กับผู้อื่นได้ด้วย

การสร้างช่องยูทูปไม่ได้ยากอย่างที่คิด แต่สิ่งที่ยากคือการทำให้ช่องมีผู้ติดตามและมียอดวิวเพิ่มขึ้นตามความต้องการ ซึ่งทำ VDO ให้มีเนื้อหาสาระที่น่าสนใจหรือมีความแปลกใหม่ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มีผู้ติดตามที่เพิ่มมากขึ้น แต่การทำ SEO ให้กับช่อง YouTube จะยิ่งทำให้ช่องได้รับความนิยมและเข้าถึงกลุ่มผู้ชมกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ซึ่งวิธีการทำ SEO ให้กับช่อง YouTube มีดังนี้

วิธีการทำ SEO ให้กับช่อง YouTube

เริ่มต้นด้วยการตั้งชื่อไฟล์ VDO ที่ตัดต่อเอาไว้เรียบร้อย พร้อม Upload ลงช่องด้วย Keyword เพื่อให้ YouTube รู้ว่า VDO ที่จะ Upload เป็นวิดีโอเกี่ยวกับอะไร โดยการตั้งชื่อที่ดีจะช่วยให้วิดีโอมีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น

เมื่อ Upload ไฟล์ VDO ลงยูทูปเรียบร้อยแล้วการใส่คำอธิบายคลิปก็เป็นการทำ SEO อย่างหนึ่งและยังช่วยให้กลุ่มเป้าหมายของคลิปได้ทราบถึงรายละเอียดเบื้องต้นว่าคลิปเกี่ยวกับอะไรและจะมีเหตุการณ์น่าสนใจอะไรเกิดขึ้น ซึ่งในส่วนนี้เป็นส่วนที่เราสามารถแทรกลิงก์เว็บไซต์ลงไปได้หากมีการทำเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้การเขียนคำอธิบายควรมีความยาวไม่เกิน 20 คำและต้องมี Keyword ที่ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายแทรกอยู่ด้วยในปริมาณที่เหมาะสม

การจัดหมวดหมู่ของวิดีโอภายในช่องเป็นวิธีที่จะช่วยให้ YouTube มองเห็นว่าช่องมีคุณภาพ ซึ่งการจัดหมวดหมู่ของวิดีโอก็เหมือนกับการจัดหมวดหมู่ในเว็บไซต์นั่นเอง โดยการตั้งชื่อหมวดหมู่ของ VDO หรือ Playlist ควรใช้ Keyword ที่ไม่ซ้ำกันในแต่ให้มีความคล้ายกัน โดยควรตั้งเป็นประโยคที่มีความน่าสนใจ ซึ่ง Playlist จะทำให้ผู้เข้าชมวิดีโอสามารถเลือกดูวิดีโอที่ตัวเองสนใจได้ง่ายขึ้นด้วย

หน้าปก VDO เป็นจุดที่จะช่วยดึงดูดให้กลุ่มเป้าหมายอยากเข้าชม ดังนั้นการลงทุนเวลาในการทำปกย่อมช่วยให้ VDO มีความน่าสนใจเพิ่มมากขึ้น โดยภาพที่นำมาใช้เป็นปกต้องมีความละเอียด 1280 x 720 และเลือกการใช้สีสันที่สดใสเพื่อช่วยดึงดูดให้ผู้ชมคลิกดูง่ายขึ้น

เพิ่มช่องทางการติดต่อเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายที่ชมเว็บไซต์แล้วรู้สึกเป็นกันเองและมีความใกล้ชิดกับ Youtuber มากขึ้น การทิ้งช่องทางติดต่อจะทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจและช่วยรักษาฐานผู้ติดตามไว้ได้ดีกว่า

ด้วยการแข่งขันที่ค่อนข้างสูงของการทำช่อง YouTube ในหมวดต่าง ๆ ทำให้การใช้เทคนิค SEO จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมได้มากขึ้น

วิธีการทำ SEO ให้กับช่อง YouTube

การคิดชื่อบทความ SEO สำคัญอย่างไร และใช้เทคนิคอะไรดี

การคิดชื่อ บทความ SEO ที่มีคุณภาพ ถือว่าเป็นการสร้างความสนใจให้แก่ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย ให้เข้ามาในเว็บไซต์เพื่ออ่านรายละเอียดและสั่งซื้อสินค้าต่าง ๆ จากร้านค้าออนไลน์นั้นได้ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดออนไลน์ให้คำแนะนำที่ดีไว้ ดังนี้

เทคนิคการตั้งชื่อบทความ SEO

ต้องสร้างอารมณ์ให้คนอ่าน – คุณเคยสังเกตตัวเองไหมว่า ถ้ามีป้ายเขียนว่า ลดราคา sales เหลือ 1 วัน ลอตสุดท้าย ที่ร้านเสื้อผ้าร้านใด จะทำให้คนสนใจเข้าไปเลือกชมเสื้อผ้าร้านนั้นในทันที นั่นเพราะคำเหล่านี้มีการวิจัยมาแล้วทางจิตวิทยา ว่าเป็นตัวกระตุ้นให้คนรีบตัดสินใจ ว่าหากพลาดไม่เข้ามาในร้าน อาจทำให้เสียผลประโยชน์ ไม่ได้รับส่วนลดหรือตกเทรนด์ต่าง ๆ ได้ เทคนิคเดียวกันนี้ นี้ยังใช้ได้กับบทความ SEO เช่น ห้ามพลาด ของมันต้องมี สุดท้าย ฯลฯ ซึ่งเหมาะสมกับร้านค้าออนไลน์ที่ต้องการทำยอดขายให้เพิ่มสูงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลวันคริสต์มาส วันปีใหม่ ฯลฯ

การใส่ตัวเลข – คุณอาจเคยสังเกตเห็นบทความที่ขึ้นด้วยคำว่า 5 วิธี 6 เทคนิค 7 ขั้นตอน ฯลฯ รู้หรือไม่ว่าเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับการวิจัยทางการตลาดว่า จะช่วยกระตุ้นให้คนสะดุดตาและสนใจอยากจะเข้ามาดู ว่าแต่ละวิธี หรือเทคนิคนั้น ๆ มีรายละเอียดเป็น อย่างไร ทั้งนี้ งานวิจัยทั้งในไทยและต่างประเทศ พบว่าผู้คนจะสนใจหัวข้อที่ใช้เลขคี่ เช่น 1 3 5 7 9 มากกว่าการใช้เลขคู่อย่าง 2 4 6 8 ถึง 20 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ถ้าคุณทำอาหารเสริมเพื่อลดน้ำหนัก ก็ควรตั้งชื่อบทความที่เกี่ยวกับสุขภาพ ตัวอย่างเช่น 5 เทคนิคท่าออกกำลังกายที่ทำให้ลดพุงได้อย่างรวดเร็ว 7 เมนูอาหารมื้อเย็นที่ดีกับคนอยากลดน้ำหนัก เป็นต้น จะทำให้คนสนใจเข้ามาอ่านข้อมูลมากขึ้นและทำให้มีโอกาสขายสินค้าได้มากขึ้นตามมาด้วย

การตั้งชื่อเป็นคำถาม – การใช้ประโยคคำถามที่คนส่วนใหญ่สนใจ ได้แก่ ทำอย่างไร สถานที่ไหน ทำไม เพราะอะไร ฯลฯ ถ้านำคำเหล่านี้มาใช้เป็นประโยคคำถามจะทำให้หัวข้อน่าสนใจขึ้น เช่น ทำไมลูกไม่ยอมกินผัก ทำไมแมวถึงชอบเอาตัวมาถูเจ้าของ เพราะอะไรคุณจึงต้องอ่านหนังสือก่อนนอน 30 นาที ฯลฯ ประโยคคำถามที่ดีจะกระตุ้นความสนใจให้ผู้คนเกิดการตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วอยากเข้ามาหาว่ามีเหตุผลที่ตรงกันกับที่เขาคิดหรือไม่ ถ้าบทความคุณสามารถตอบโจทย์ความสนใจได้พร้อมกับแนะนำผลิตภัณฑ์สินค้าที่เกี่ยวข้องกับบทความจนลูกค้าซื้อได้ ก็เท่ากับประสบความสำเร็จในการสื่อสารแล้ว

จะเห็นได้ว่า การคิดชื่อบทความ SEO เป็นสิ่งที่ห้ามมองข้าม ถ้าต้องการดึงดูดผู้คนให้เข้ามาในเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและช่วยให้สินค้าของคุณขายได้มากขึ้น ต้องฝึกฝนเทคนิคการตั้งชื่อบทความที่น่าสนใจและมีเนื้อหาทันสมัยอยู่เสมอด้วย

เทคนิคการตั้งชื่อบทความ

Organic SERPs คืออะไร ทำไมต้องรู้จัก

การทำเว็บไซต์ SEO เป็นวิธีที่ผู้ชำนาญทางการตลาดออนไลน์ แนะนำให้ให้ผู้ที่ต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ทุกประเภท ศึกษาและพัฒนาตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายเมื่อมีการค้นหาด้วยคำสำคัญใน Google ทั้งนี้ คำศัพท์ที่สำคัญ คือ Organic SERPs เป็นสิ่งที่ทุกคนควรเข้าใจ เพราะจะเป็นประโยชน์ในการสังเกตผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงด้าน SEO ของเว็บไซต์ตัวเอง และช่วยให้เห็นว่าเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ใช้ keyword เดียวกันมีความก้าวหน้าอย่างไรบ้าง

Organic SERPs ย่อมาจาก organic search engine result pages หมายถึงหน้าจอแสดงผลของ Google ที่จะปรากฏขึ้น เมื่อมีการใส่ keyword ลงไปในช่องค้นหา

ตัวอย่างเช่น คุณใช้ keyword คำว่า ดอกไม้รับปริญญา เมื่อกดค้นหา ก็จะปรากฏเว็บไซต์ต่าง ๆ ลำดับตามคะแนน SEO จากสูงไปต่ำ 1-10 เว็บไซต์ในแต่ละหน้าเพจ

มีการศึกษาวิจัยพบว่าเว็บไซต์ SEO ที่ปรากฏผลอยู่ในส่วน Organic SERPs อันดับที่ 1-5 จะมียอดขายสินค้าและบริการมากกว่าเว็บไซต์ที่อยู่ในลำดับล่าง ๆ ลงไป และนอกจากคำว่า Organic SERPs แล้ว ยังมีคำว่า Paid SERPs ซึ่งหมายถึง เว็บไซต์ที่มีการจ่ายเงินเป็นค่าสปอนเซอร์ เพื่อซื้อพื้นที่โฆษณา จะอยู่โซนด้านบนหรือด้านข้างของหน้าจอ โดยต้องมีการเสียค่าใช้จ่ายให้ Google แตกต่างจาก Organic SERPs ที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่าย เพียงพัฒนาเว็บไซต์ให้เป็นตามกฎของ Google และอัปเดตความสดใหม่ของบทความเสมอ ๆ

หากคุณต้องการทำให้อันดับเว็บไซต์ SEO ใน Organic SERPs ดีขึ้น ต้องห้ามมองข้ามสิ่งต่อไปนี้

1. โครงสร้างของเว็บไซต์ ต้องมีการจัดหมวดหมู่ของสินค้าและบริการที่ชัดเจน

2. ระบบใช้งานง่ายกับโทรศัพท์มือถือและอาจมีแชทบอทที่ช่วยในการตอบคำถาม

3. หัวข้อและ keyword ที่ดี หัวข้อต้องน่าสนใจ และใช้คำสำคัญที่มีความยาวและเฉพาะเจาะจง สัมพันธ์กับพฤติกรรมการสืบค้นของผู้บริโภคยุคใหม่

4. แชร์ Link เชื่อมโยงจากแพลตฟอร์มของสื่อโซเชียลอื่น ๆ เช่น Instagram Facebook

5. มีการทําไฮเปอร์ลิงก์เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลไปสู่เพจหน้าอื่นในเว็บไซต์ตัวเอง สร้างความสะดวกให้แก่ผู้อ่าน

หากคุณใส่ใจองค์ประกอบต่าง ๆ ครบทุกด้านที่กล่าวมา ก็ทำให้อันดับ SEO สูงขึ้น ซึ่งกรณีของการพิมพ์หาด้วยคำค้นต่าง ๆ เช่น ดอกไม้รับปริญญา ถ้าเจอเว็บไซต์ใดในอันดับต้น ๆ ของ Organic SERPs แปลว่ามีคุณภาพตามหลัก SEO ครบถ้วน

และหากเว็บไซต์คุณอยู่ในอันดับต้น ๆ ของส่วน Organic SERPs ด้วย ก็แสดงว่าคุณได้พัฒนาเว็บไซต์มาถูกทางแล้ว และควรทำอย่างต่อเนื่องต่อไป เพื่อให้ได้อันดับที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ

Organic SERPs มีประโยชน์ทั้งการยืนยันคุณภาพของเว็บไซต์ตนเอง และช่วยให้สามารถที่จะศึกษาเปรียบเทียบกับเว็บไซต์อื่นที่เป็นคู่แข่งของธุรกิจที่ใช้คำค้นหาเดียวกันได้ด้วย

เราหวังว่าบทความนี้ จะช่วยทุกท่านสนใจการใช้ประโยชน์จาก Organic SERPs มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประสบผลสำเร็จในการทำธุรกิจออนไลน์ต่อไป

หัวข้อและ keyword ที่ดี หัวข้อต้องน่าสนใจ

Google Search Console คืออะไร ใช้ประโยชน์อย่างไร

Google Search Console หรือชื่อเดิมที่หลายคนรู้จักคือ webmaster tools เป็นเครื่องมือที่ผู้ทำเว็บไซต์ SEO ควรรู้จัก เพราะจะช่วยตรวจสอบคุณภาพของเว็บไซต์ได้ตลอดเวลาว่า ตรงตามหลักเกณฑ์ SEO หรือ search engine optimization ที่ Google กำหนดไว้หรือไม่

หลังจากการติดตั้ง Google Search Console เรียบร้อยแล้ว ให้เลือกโดเมนของเว็บไซต์ในการใช้งานเครื่องมือนี้ และทำการยืนยันตัวตนและระบุตัวผู้ที่มีสิทธิ์ใช้งานดูแลเว็บไซต์ให้ชัดเจน

สิ่งที่ควรศึกษาใน Google Search Console เพื่อให้การทำ SEO ประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น มีดังนี้

1. ค่า Performance

เป็นสิ่งที่จะบอกได้ว่า keyword ที่คุณที่เว็บไซต์ใช้อยู่ในแต่ละเพจตรงกับการสืบค้นของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากเพียงใด จะมีกราฟเส้นและตัวเลขเปอร์เซ็นต์ ที่แสดงให้เห็นรายละเอียดต่าง ๆ เช่น

ค่า Total Clicks หมายถึงจำนวนครั้งที่มีคนคลิกเข้ามาชมในเว็บไซต์หลังจากเห็นส่วน title และ meta-description ในหน้าต่างการสืบค้น

ค่า CTR หมายถึงสัดส่วนผู้ที่เห็นเว็บไซต์กับผู้ที่คลิกเข้ามา หากค่า CTR สูง ก็แสดงว่าประสบความสำเร็จในการนำเสนอข้อมูล โดยเฉพาะการตั้งหัวเรื่องและบทคัดย่อที่น่าสนใจ

ค่า Average position หมายถึง อันดับที่เว็บไซต์ของคุณปรากฏบนหน้าต่างการสืบค้น หากอยู่ในอันดับ top10 หรือ top5 ก็ยิ่งดี เพราะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและทำให้มีโอกาสได้รับการสั่งซื้อสินค้ามากกว่าเว็บไซต์ลำดับล่าง ๆ

2. ค่า URL expectations

เป็นช่องทางที่สะดวกในการตรวจสอบว่าระบบ algorithm ของ Google ได้มาเช็คข้อมูลในเว็บไซต์หรือเพจของคุณครั้งล่าสุดเมื่อใด และมีประเด็นไหนที่ต้องแก้ไขบ้าง หากยังไม่มีการอัปเดต ทั้งที่คุณได้มีการอัปโหลดข้อมูล รูปภาพ บทความใหม่ ๆ ลงไป ก็สามารถ กดปุ่ม Request index เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้ระบบ AI ของ Google รีบมาเก็บข้อมูลที่อัปเดตได้

3. ค่า Link

การทำลิงก์มีผลต่ออันดับ SEO ไม่ว่าจะเป็นลิงก์ระหว่างเว็บไซต์ที่คุณเชื่อมโยงเป็นพันธมิตรการค้า ที่เรียกว่า External Link หรือ Internal Link ที่เชื่อมเพจภายในเว็บไซต์ของตัวเอง

ฟังก์ชันนี้จะทำให้เห็นได้ว่าผู้คนที่เข้ามาในเว็บไซต์คุณนั้นมาจากการคลิกลิงก์ที่ใด เว็บไซต์ใดที่คุณควรให้ความสำคัญทำลิงก์ต่อไป หรือเป็นแนวทางในการขยายฐานลูกค้าที่กว้างขึ้น ทั้งยังทำให้รู้ถึงความต้องการของลูกค้าเป้าหมายได้ว่า ต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมในบทความประเภทใดบ้าง หรือประทับใจในสไตล์การเขียนงานแบบใด เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า Google Search Console เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การทำ SEO ของคุณประสบความสำเร็จยิ่งขึ้น ทำให้สามารถแก้ไขจุดอ่อนได้อย่างตรงตรงประเด็น และทำให้มีการขยายฐานลูกค้าของแบรนด์ที่กว้างขึ้นได้ในเวลารวดเร็ว ที่สำคัญคือ ทำให้มีตัวเลขยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายในยุคที่เศรษฐกิจมีความผันผวนอย่างในปัจจุบัน

Google Search Console คืออะไร ใช้ประโยชน์อย่างไร

เทคนิคการทำ SEO ให้รูปภาพ 2019

การทำ SEO ให้รูปภาพเป็นเทคนิคหนึ่งที่จะทำให้อันดับในการสืบค้นของเว็บไซต์ทางธุรกิจคุณดีขึ้นได้ นอกจากการทำลิงก์หรือหรือการใส่ keyword ในบทความแล้ว การปรับแต่งรายละเอียดต่าง ๆ ของรูปภาพยังส่งผลต่อความประทับใจของผู้ใช้งานเว็บไซต์และทำให้เสริมสร้างแบรนด์ของคุณให้เป็นเอกลักษณ์ได้มากขึ้นด้วย

การทำ SEO ให้รูปภาพอย่างมืออาชีพมีเทคนิค ดังนี้

1. การควบคุมขนาดรูป

การเพิ่มความประทับใจของผู้อ่าน ลดเวลาการรอคอยการดาวน์โหลดภาพและบทความ ด้วยการย่อรูปลงให้มีขนาดที่เหมาะสมในช่วง 700-800 Pixel ก็เพียงพอ หลายเว็บไซต์ที่มีการเช่าพื้นที่โดเมน จะต้องแชร์ทรัพยากรร่วมกัน จะมีปัญหาดาวน์โหลดนานเกิน 3-5 วินาที ทำให้เสียลูกค้าไปให้แบรนด์คู่แข่งอื่นได้ง่าย

2. การตั้งชื่อรูปภาพ

ควรใช้อักษรภาษาอังกฤษและใส่ keyword เดียวกันกับบทความลงไปด้วย เนื่องจากว่าจะทำให้ระบบ algorithm วิเคราะห์และประมวลได้ดีขึ้น ที่สำคัญคือ ควรใส่คำที่ตอบโจทย์ว่า บุคคลในภาพคือใคร กำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน มีอารมณ์อย่างไร และธีมสีภาพอะไรด้วย

3. การใช้ฟังก์ชั่น alt text ทำงาน

ฟังก์ชั่น alt text ของโปรแกรม wordpress จะช่วยในการอธิบายใส่รายละเอียดในรูปภาพได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยจะมีระบบในการวิเคราะห์ว่าควรปรับแต่งเพิ่มเติมมากน้อยอย่างไรบ้าง จะทำให้ได้ภาพที่ผ่านการปรับแต่งให้เข้ากับหลักเกณฑ์ของ SEO มากขึ้น

4. การคิดหัวข้อหรือ Title ให้แก่รูปภาพ

คนทำเว็บไซต์ส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการทำหัวข้อ title ของบทความที่ต้องสะดุดตา ดึงดูดใจคนอ่านให้คลิกเข้ามาในเว็บไซต์หลังการ search ใน Google ซึ่งการทำหัวข้อ title ของส่วนรูปภาพ ก็มีผลต่อคะแนนจัดอันดับเว็บไซต์เช่นเดียวกัน ควรตั้งชื่อให้สอดคล้องกับบทความและต้องมี keyword หลักเดียวกันอยู่ด้วย

5. การผลิตรูปใหม่

การใช้รูปที่ถ่ายขึ้นเองใหม่จะมีผลดีต่อคะแนน SEO ที่สูงกว่าการใช้รูปดาวน์โหลดจากเว็บไซต์โดยเฉพาะแบบที่ให้ภาพฟรีปลอดลิขสิทธิ์ และยังเป็นการสร้างแบรนด์ของคุณให้ลูกค้าประทับใจมากขึ้น ในปัจจุบันโลกโซเชียลมีการแชร์บทความบ่อย ๆ หากคุณใช้รูปที่คนเคยเห็นจนชินตา ก็จะทำให้ความอยากอ่านบทความน้อยลง ทำให้อัตราการเคลื่อนไหวหรือค่า traffic ในเว็บไซต์ต่ำลง แนะนำว่าควรศึกษาเทคนิคการถ่ายภาพแบบมืออาชีพและเรียน Photoshop เพื่อการตกแต่งภาพสร้างความโดดเด่นยิ่งขึ้น

จะเห็นได้ว่า เทคนิคการทำ SEO ในภาพดังที่กล่าวมา เป็นสิ่งที่ช่วยให้ผู้อ่านจดจำเว็บไซต์คุณมากขึ้น เป็นเทคนิคการสร้างแบรนด์ในระยะยาว ทั้งเพิ่มอันดับการสืบค้น จึงมีโอกาสเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านนำหลัก SEO ไปปรับใช้กับรูปภาพได้มากขึ้นต่อไป

เทคนิคการทำ SEO ให้รูปภาพ 2019

วิธีการเลือกบริษัทรับทำ SEO ที่ดี

การทำ SEO ให้แก่เว็บไซต์ออนไลน์เป็นสิ่งที่จำเป็น เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการแข่งขันทางการค้ามากขึ้น จากการที่เว็บไซต์จะถูกประเมินด้วยระบบ algorithm ของ Google ให้อยู่ในอันดับต้น ๆ ของหน้าต่างการสืบค้น

ผู้ที่ต้องการจ้างบริษัททำ SEO จึงควรทราบวิธีเลือกบริษัทที่มีคุณสมบัติที่ดีเพื่อให้ไม่เสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงหรือคาดหวังผลเกินความเป็นจริง ดังนี้

1. การเลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ

โดยสังเกตจากใบทะเบียนการค้าและเว็บไซต์ที่มีการลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน มีที่อยู่และผู้รับผิดชอบที่ติดต่อได้จริง เป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานที่ต้องพิจารณา ทั้งนี้ ควรอ่านรีวิวโดยผู้ใช้บริการจริง ว่าให้ผลลัพธ์การทำ SEO ที่น่าพึงพอใจด้วย ซึ่งจะสามารถหาข้อมูลการรีวิวได้จากเว็บไซต์ออนไลน์ เช่น เว็บไซต์พันทิป หรือกลุ่มรับจ้างทำ SEO ใน Facebook

2. การมีขั้นตอนแบบมืออาชีพ

ผู้ให้บริการ SEO ต้องสามารถอธิบายได้ว่า ขั้นตอนการทำ SEO ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ซึ่งกูรูด้านการตลาดแนะนำว่า ควรเริ่มจากการปรับแก้ไขส่วนโครงสร้างพื้นฐานหรือที่เรียกว่า on-page SEO เพื่อสามารถต่อยอดให้ทำในส่วน Backlink และการเพิ่มบทความ SEO เพื่อส่งเสริมการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

3. การรายงานผล

ผลสรุปรายวันและรายเดือนสำหรับการทำ SEO มีประโยชน์ต่อการหาจุดบกพร่องที่ควรแก้ไขในแต่ละวัน บริษัทที่ทำ SEO จึงต้องมีการกล่าวถึงเรื่องนี้ในสัญญาจ้างงานด้วย

4. ต้องไม่เลือกวิธีที่ผิดกฎที่ Google กำหนด

การทำสแปม keyword (มีการใส่ keyword ซ้ำ ๆ หรือเป็นคำที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบทความ) จะทำให้อันดับ SEO ของเว็บไซต์ของลูกค้าตกต่ำลงไปได้ และในที่สุดก็จะถูกแบนจากระบบของ Google ได้ด้วย

5. ราคาการทำ SEO เหมาะสม

ราคาการจ้างงานจะต้องอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่แตกต่างจากปกติมากนัก หากคิดราคาถูกเกินไป อาจเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงหรือถูกทิ้งงานกลางคันได้

6. การการันตีผลการทำ SEO

โดยปกติแล้วระบบ algorithm ของ Google จะมีการเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เป็นระยะ เพื่อนำไปประมวลและอัปเดตผลการเปลี่ยนแปลงการนำเสนอในหน้าต่างการสืบค้นอย่าง Google search ซึ่งจะไม่สามารถมีการบังคับอันดับการนำเสนอได้ สิ่งที่คาดหวังผลได้มากที่สุด คือ การทำให้เว็บไซต์อยู่ในหน้าแรกของหน้าต่างการสืบค้น หรือ Top 5 Top 10 เท่านั้น หากบริษัทที่รับทำ SEO การันตีว่าสามารถทำอยู่ในอันดับที่ 1 ได้อย่างแน่นอน อาจเสี่ยงต่อการถูกหลอกลวงหรือใช้วิธีการที่ไม่เหมาะสมได้

จะเห็นได้ว่า การเลือกบริษัททำ SEO จะต้องใส่ใจในเรื่องความน่าเชื่อถือ ขั้นตอนการทำ และศักยภาพของบริษัทที่รับทำ เพื่อให้ผู้จ้างทำ SEO ไม่เสียโอกาสการแข่งขันทางธุรกิจและทำให้การจ้างงานคุ้มค่ายิ่งขึ้น

การจ้างบริษัททำ SEO จึงควรทราบวิธีเลือกบริษัท